กำเนิดจักรวาล

เมื่อเดือนที่ผ่านมา องค์การนาซาได้เผยแพร่ภาพคมชัดจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ ที่ส่งออกไปไกลถึง ๑.๕ ล้าน กม. ทำให้เห็นภาพดวงดาว กาแล็กซี่ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง ๑๓,๕๐๐ ล้านปีแสง

กล้องเจมส์ เวบบ์ จะทำงานไปอีก ๒๐ ปี ภาพของเอกภพ และอื่นๆ ที่ห่างออกไปล้าน ๆ ปีแสงจะถูกส่งกลับมายังโลก ทำให้เห็นภาพน้ำบนดาวต่าง ๆ เห็นก๊าซ ฝุ่นควันที่ดาวกำลังจะตายปล่อยออกมา เห็นดาวเกิดใหม่ไหลออกมาจากหลุมดำ

รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ บอกว่า …๑ ปีแสงเท่ากับ ความเร็วของแสง ๓๐๐,๐๐๐ กม. ต่อวินาที x ๖๐ วินาที x ๖๐ นาที x ๒๔ ชั่วโมง x ๓๖๕ วัน ก็จะได้ประมาณ ๙.๕ ล้านล้าน กม. (ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก ๑๕๐ ล้าน กม. แสงเดินทาง ๘ นาทีกว่าจะมาถึงโลก)

โครงการนี้มีคนไทยเข้าร่วมคือ ดร.ณิชา ลีโทชวลิต ได้ทุนจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ไปศึกษาด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ที่ University of Chicago และ California Institute of Technology สหรัฐอเมริกา ดร.ณิชา มีหน้าที่รันโค้ดที่ใช้หาว่าภาพกาแล็กซี่ที่ถ่ายได้อยู่ไกลจากโลกกี่กัปกัลป์

รศ.ดร.สุขพัฒน์ อนนท์จารย์ เขียนไว้ใน “ทางอีศาน” ถึงเรื่องกำเนิดจักรวาลตามความเชื่อของชาวอุษาคเนย์ปรากฏในคัมภีร์ปฐมมูลปฐมกัปป์ ว่า …สรรพสิ่งว่างเปล่าไม่มีวัตถุที่เป็นรูปร่าง มีแสงก็ไม่เห็นว่าเป็นแสง ธาตุ ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจายไปทั่ว ความว่างเปล่าหมุนวนตราบนานเท่านาน ในคราวนั้นมีแต่เพียงอากาศกว้างขวาง ไม่สามารถที่จะกำหนดนับได้ด้วยตัวเลข มีแต่วาโยเจ้าองค์ธรรมมาบังเกิดก่อนกว่าสิ่งใด ๆ ได้พัดพาสัมผัสเป็นอากาศไปมา ต่อมาได้บังเกิดมีเป็นอาโปคือน้ำมีอยู่ทั่วไป จึงได้ชื่อว่า สมุทรทัสสะนครน้ำองค์พระธรรม ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมาเคว้งคว้าง ไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้ หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำมหาสมุทร

กาลเวลาผ่านมานานแสนนาน วาโยคือลม ได้พัดพากลายเป็นปลาอโนมา และกาลเวลาผ่านอีกนานแสนนาน ลมก็ได้พัดพาเอาน้ำมาจึงบังเกิดเป็นดินและหินผาต่าง ๆ แต่ว่าลมทางเบื้องซ้ายได้พัดขึ้นไปทางเหนือ ลมทางเบื้องขวาได้พัดพาลงไปทางใต้ ต่อมาจึงได้เรียกชื่อว่า ลมมีดตรอก ได้พัดพาไปคนละทิศละทาง พัดไปข้างโน้นข้างนี้จึงได้ถูกแยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น วัตถุทั้งสองส่วนได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทรห่างกันออกไป เคว้งคว้าง พร้อม ๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแผ่นดินหรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทร แผ่นดินทั้งสองผืนก็ค่อย ๆ สะสมรูปร่างให้โตและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อแผ่นดินแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่าง ๆ ได้ก่อกำเนิดพืชพันธุ์ เกิดต้นไม้ และคน ขึ้นจากขี้ตมปวก หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ อันสะสมมวลสารมากมาย เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาหลายปีหลายอสงไขยแสนโกฏิ ไม่สามารถกำหนดนับได้ ดินและน้ำเริ่มเกิดเป็นลมตีพัดปั่นกันไปไกลแสนไกล แล้วแผ่นดินทั้งสองแผ่นได้ไหลเข้าไปติดเป็นผืนแผ่นเดียวกัน…

ในอนาคตความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จะเผยให้เห็นธรรมชาติแห่งการกำเนิดจักรวาล ช่างเป็นเรื่องระทึกตื่นเต้นอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ซึ่งจะเปิดประตูบานใหม่ให้สรรพชีวิตและมวลมนุษยชาติได้ลืมตาเกิดมา ได้หายใจ ได้อยู่อาศัย ได้เรียนรู้ต่อสู้ ผ่านทุกข์สุขและถึงกาลแตกดับ สืบเนื่องไป

***

คอลัมน์ บทบรรณาธิการ นิตยสารทางอีศาน ฉบับที่ ๑๒๔ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕

ราคาเล่มละ ๑๐๐ บาท

สมัครสมาชิก ครึ่งปี ๖๐๐ บาท

หนึ่งปี ๑,๑๐๐ บาท

ตลอดชีพ ๙,๕๐๐ บาท (ได้รับหนังสือย้อนหลัง)

สั่งซื้อ// ชำระเงิน // สอบถามเพิ่มเติม ได้ทาง

inbox หนังสืออีศาน m.me/166200246799901

line id : @chonniyom (มี@) คลิก https://lin.ee/amxqtvW

shopee : https://shope.ee/4fHuugcSZc

LnwShop : https://www.thaibookfair.com/seller/chonniyom-eshann

Related Posts

เปิดตัวหนังสือ “มหากาพย์ชนชาติไทฯ”
บทที่ ๓ ไม่ยอมแพ้
ปิดเล่ม ทางอีศาน 124
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com