ปิดเล่ม ทางอีศาน ๑๒๖
กรณีวิกฤต “โรคห่าตำปอด” ที่ลามระบาดไปทั่วโลกร่วม ๓ ปีนั้น แหละแล้ววันคืนที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ต้องบันทึกไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขประกาศยกเลิกโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ นี้เป็นต้นไป
ลักษณะอาการของโรคโควิด-19 ที่ยังต้องระวัง ได้แก่อาการไข้ ไอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการทางเดินหายใจล้มเหลว กระทั่งถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทางราชการยังแนะนำอีกว่า “ด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น ตามการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์และวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเช่นกลุ่ม ๖๐๘ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีขึ้นไป, ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ๗ โรค และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน และลดโอกาสการรับเชื้อ”
โรคโควิด-19 พบครั้งแรกที่นครอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ พบเชื้อโควิด-19 เข้าประเทศไทยจากหญิงชาวเมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓
ชายไทยอาชีพขับแท็กซี่เป็นคนแรกที่ได้รับเชื้อจากผู้โดยสารชาวเมืองอู่ฮั่น ตรวจพบเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓
สรุป (ตัวเลขเมื่อวันพุธที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๕) สถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ข้อมูลสะสมตั้งแต่ปี ๒๕๖๓
~ ผู้ป่วยยืนยันสะสม ๔,๖๗๕,๕๓๒ ราย
~ หายป่วยแล้ว ๔,๖๓๔,๔๙๓ ราย
~ เสียชีวิตสะสม ๓๒,๖๖๘ ราย
วันนี้โรคโควิด-19 ลดระดับความรุนแรงกลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว แต่มีโรคประจำเมืองไทยชนิดหนึ่งซึ่งเกิดมาเกือบศตวรรษแล้ว โรคนี้ก็จะกำเริบอีกครั้งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ นี้ (วันเดียวกับห่าซาลงอย่างเป็นทางการ) โรคที่ว่าคือ โรคแย่งกันเป็นใหญ่ โรครุมกินบ้านกินเมือง เมื่อไหร่หนาปวงประชาจะเข้มแข็ง รวมตัวกันลุกขึ้นมาจัดการและออกประกาศถอนรากถอนโคนเสียที