บทกวี โบยบินจากความกลัว
หรือคุณซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ณ ที่มีความฟุ้งฝันขลาดเขลา
หลบเร้นใต้มุมอับสลัวเงา
มิอาจที่จะเอาชนะความกลัว
นานเท่านานลืมกาลเวลา
เคยไหม...เยี่ยมมองฟ้าถ้วนทั่ว
ถึงแดดสาดแสงไล่ความมืดมัว
หม่นหมองในตัวยังกักขังกลืนกิน
คำผญา (๑๘)
“ความตายนี่แขวนคอทุกบาดย่าง
ไผก็แขวนอ้อนต้อนเสมอด้ามดั่งเดียว” ความตายนี้แขวนคอทุกย่างก้าว
ใครก็แขวนไว้เสมอว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
ผญาสมัย : ฝนเทวา
เทพเทวาเลาะเหล้น หาหลั่ง รินฝนเปิดป่องแปวนาคา ล่วงบน เบยฟ้าเมฆาทะมึนมั้ว อัวอล - หนเลื่อนคนแนมนำโง่นฝ้า คองถ้า ล่วงธาร
ส่องซอด ทางอีศาน ฉบับที่ 14
จอกหนึ่ง พอซิกริกจอกสอง พอแซกแรกจอกสาม พอแปลกความจอกสี่ หลงพี่หลงน้องจอกห้า เห็นป้าว่าแม่นเมียจอกหก ชกปากพ่อเฒ่าจอกเจ็ด แกล้มเป็ดแกล้มไก่จอกแปด ฟ้อนตากแดดว่าแม่นฝนตกรินจอกเก้า ข้าวอยู่เล้านึกอยากขายเกวียนละบาทก็ขายจอกสิบ หลิบพุ้นหลิบพี้จอกสิบเอ็ด ตึ่งลึ่งตึ่ง
บทร้อยกรองของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๒๕-๒๘
๒๕. ชายโสภาใจเย็นนักปราชญ์ ชายฉลาดหลีกเว้นคนผิด คนใช่มิตรผูกจ่องกรรมเวร คนมีเข็ญหาคุณบ่ได้ คนทุกข์ใฮ่เกี่ยวหญ้าหาฟืน บ่ฝ่าฝืนผิดเถียงดูหมิ่น ๒๖. คิดสู่ถิ่นทั่วโลกโลกา กะปูนาหาหัวบ่ได้ ไผหาให้เลี้ยงท้องเขาเอง พวกสัปโปงูเขียวงูเห่า ขึ้นต้นไม้เสือกแล่นตามดิน ตีนบ่มีแล่นไวปานม้า...
ร่วมประกาศชัย
นกอินทรีกระหยับปีกฉีกเวหน
สัตว์ทุกตนตื่นตระหนกทั้งเล็กใหญ่
ลุ้นระทึกเต้นตึกตักตรงหัวใจ
เร่งสัญชาตญาณไพรไหวสั่นรัว
บทกวี: จุดบั้งไฟยังไล่ล่า…
๏ ไฟบั้งเอ้อลังการตระการตา เชิดนาคาพ่นน้ำอร่ามล้น นางฟ้อนย้อนย้ายร่ายร่างทน เซิ้งขอฝนขอรางวัลขันแข่งนั้น หลายร่างชายป้ายแป้งแดงลิปสติก ทำซิกงิกจริตหญิงยิ่งน่าขัน บ้างหาบขยะกับตะกร้าควัน แต่งเพี้ยนกันพลันนึกพิลึกดี โชว์ปลัดขิกอีกเกมสมสู่ ทุกคุ้มสู้ลุ้นรางวัลพนันชี้ ต่างมึนเมาเหล้ายาประชาชี หมกมุ่นมีผีพนันพันละเก
กาพย์ไขโคลงลาวเดิม : ไม้จัน
๏ ไม้จันแห้งแล้วตัด หอบมา แม่นฮู้ว่าผู่สีลา บ่บ้าง ซอยออกเป็นเฝื้องฝา ยังยิ่ง ลูกตะกุนแม่นทุกอ้าง บ่ห่อนม้างบัดสี ฯ (กาพย์ไขโคลง) ๏ ต้นจันแห้งกลางป่า...คนใช้พร้าโค่นตัดลง แบกหามจากป่าดง.....สู่บ้านช่องท้องถิ่นตน ๏ ท่อนใหญ่ให้กลิ่นหอม...ลูกหลานล้อมแบ่งตัดจน...
บทกวี หินหายใจ
เมื่อหินไม่ใช่หิน
แอบซ่อนศิลปะเสริม
ธาตุแท้แต่ดั้งเดิม
ได้พูนเพิ่มเติมความหมาย
เหลือซากร่วมฝากทรง
ความสูงส่งแห่งผงทราย
แตกดับเกินลับหาย
แตกช่อลายขึ้นหายใจ
คำโตงโตย
“หมากบ่เคี้ยวปากเป่าบ่แดง
แม่นซิมีเต็มพากะบ่แดงเองได้”
(วรรณคดีลาว “ย่าสอนหลาน”)
ด่านเจดีย์สามองค์
อีกหนึ่งด่านด้าวแดนดง กลางพงไพรเถื่อนเทือกเขา
ผู้คนตั้งมั่นภูมิลำเนา ขีดเส้นแหว่งเว้าเข้าครอง
ทางเทียวพม่ารามัญ กะเหรี่ยงสัมพันธ์ไทยผอง
ค้าขายคู่ศึกปรองดอง ยอกย้อนซ้อนทับนับกาล คือด่านเจดีย์สามองค์ ยังคงเรื่องเก่าเล่าขาน
สุดเขตประเทศตำนาน สื่อสารถูกผิดพลิกแพลง
หวังแสงศรัทธาปรากฏ สิ้นหมดกดแบ่งแก่งแย่ง
พลังปัญญาสำแดง ทุกหัวระแหงแหล่งธรรม.
คำโตงโตย
เห็นว่าปลาทอต้อน หมายซิตำปลาแดก บาดห่าต้อนเจ้าหลูคูเจ้าฮ้ง ซิพายข้องปึ่งดัง / ดร.ปรีชา พิณทอง อธิบายว่า ปลาออกันอยู่ที่หน้าต้อนเรียกว่าปลาทอหน้าต้อน “ต้อน” คือเครื่องมือจับปลา “หลู” คือทะลุ “ฮ้ง” คือน้ำไหลลอดคันต้อน พ่อค้าขายของเมื่อคนมาออกันที่หน้าร้านเพื่อดูสินค้า เจ้าของร้านดีใจว่าวันนี้แหละจะร่ำรวย...
ปู่สอนหลาน
อย่าเอาไก่ป่ามาเฮ็ดไก่ขวัญ- อย่ากินยาตางผู้ไข้- อย่าหาเหามาใส่หัว- อย่าเชื่อใจทาง อย่าวางในคน มันจนใจโต- อย่าเอาเสิกมาใส่บ้าน อย่าเอาหว้านมาใส่สวน
คำโตงโตย: ทางหลวง
ดร.ปรีชา พิณทอง อธิบายว่า ทางหลวงคือ ทางเส้นใหญ่ ทางเส้นใหญ่นั้นพระพุทธเจ้าถางไว้เพื่อให้พุทธบริษัทเดินตาม ทางเส้นใหญ่ได้แก่มรรคแปด มี สัมมาทิฏฐิ ? ความเห็นชอบ เป็นต้น มี สัมมาสมาธิ - ตั้งใจชอบ เป็นเส้นสุดท้ายพระองค์เดินตามทางใหญ่นี้จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วสอนให้พุทธบริษัทเดินตาม ผู้เดินตามก็มี ไม่เดินตามก็มี
กาพย์ไขโคลงภาษิตลาว: เวลา
เป็นที่ทราบชัดเจนมานานแล้วว่า คำประพันธ์ประเภทโคลงของลุ่มเจ้าพระยานั้นได้รับอิทธิพลต้นแบบมาจากล้านนา และล้านช้าง โดยเฉพาะล้านช้างนั้นมีโคลงภาษิตเก่าแก่ซุกซ่อนไว้นมนานเพื่อสอนสั่งเตือนสติลูกหลาน บัดนี้ขอขุดค้นมาเผยแผ่แก่หลานเหลนลูกเพื่อปลูกผญาอันไร้กาลเวลาและพรมแดน