อีศานในสถานการณ์ไวรัส“โควิด-19” ลามระบาดทั่วโลก “ให้พี่น้องป้องปาย ซำบายดี ทุกผู่ทุกคน” ( 10 )
“ให้พี่น้องป้องปาย ซำบายดี ทุกผู่ทุกคน”
( 10 ) จันทรสมบูรณ์อาดูรโลก
เยี่ยมหน้ามาซับโศกทุกข์หนักหนา
ปิ่นมณีศิวะทรงเมตตา
มรรตัยชน*ยิ้มเต็มหน้าคืนฟ้างาม. *มนุษย์ผู้เกิดมาแล้วต้องตาย
(ขอบคุณเจ้าของภาพประกอบ)
คำโตงโตย
สุกอยู่บนต้นบ่ปานฝานหัวบ่ม
เพิ่นบ่มให้บ่ปานเจ้าบ่มเอา
สรรสร้าง
มาร่วมกันไล่ล่าฆ่าโควิด
ให้พวกมันหมดฤทธิ์เสร็จสิ้นเรื่อง
ทุกชีวิตกลับมาเจริญรุ่งเรือง
ดาวโลกจรัสเฟื่องเวิ้งจักรวาล
“แตกเมือง”
ปิดกรุงเทพฯเคอร์ฟิวประเทศไทย โรคห่าระบาดใหญ่ปีหกสาม
โลกมนุษย์โควิดขวิดลุกลาม ศึกหนักกว่าสงครามมหันตภัย ผู้นำจิตวิญญาณการ’แตกบ้าน’ ออกมาขานกวักมืออยู่ไหวไหว
“กลับมาเถิดกลับบ้านดินแดนไกล หมู่บ้านไม่ไร้ญาติขาดพี่น้อง
สมบูรณ์ด้วยปูปลามีผักหญ้า อาหารป่ามากมายได้สนอง
อาทิตย์จันทร์ดวงดาวเราครอบครอง เทือกภูสูงห้วยหนองก็ของเรา”
ปิดหมู่บ้าน
ข่าวเผยแพร่หน้าจอทอระทัด
บนมือถือก็สะพัดชัดแย่แล้ว
กฎปลาใหญ่กินปลาน้อยตลอดแนว
คนเล็ก ๆ จอดไม่แจวอีกต่อไป
ฝังข้าไว้ที่เถียงนา
น้องเอยน้องเพียงฟังเสียงจากหัวใจพี่
หวาดไหวฤดีอ่อนล้าทรมาน
พี่จากนามาห่างไกลนิวาสถาน
สุดเส้นแล้วต้องซมซานกลับคืนผืนถิ่นเฮา
สายธารวรรณศิลป์
๑. ไหลบ่าอารมณ์ที่บ่มเพาะ
ลัดเลาะเกาะแก่งแอ่งหินผา
เลี้ยวลดคดโค้งโยงสายมา
สุดหล้าฟ้าไกลไม่สิ้นมนต์
๒. เรียงร้อยสร้อยรักอักขระ
เพื่อจะปลอบปลุกทุกแห่งหน
กล่อมเกลาฤดีที่ทุกข์ทน
หลุดพ้นนิยามความหลอกลวง
บทกวี โบยบินจากความกลัว
หรือคุณซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ณ ที่มีความฟุ้งฝันขลาดเขลา
หลบเร้นใต้มุมอับสลัวเงา
มิอาจที่จะเอาชนะความกลัว
นานเท่านานลืมกาลเวลา
เคยไหม...เยี่ยมมองฟ้าถ้วนทั่ว
ถึงแดดสาดแสงไล่ความมืดมัว
หม่นหมองในตัวยังกักขังกลืนกิน
คำผญา (๑๘)
“ความตายนี่แขวนคอทุกบาดย่าง
ไผก็แขวนอ้อนต้อนเสมอด้ามดั่งเดียว” ความตายนี้แขวนคอทุกย่างก้าว
ใครก็แขวนไว้เสมอว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
ผญาสมัย : ฝนเทวา
เทพเทวาเลาะเหล้น หาหลั่ง รินฝนเปิดป่องแปวนาคา ล่วงบน เบยฟ้าเมฆาทะมึนมั้ว อัวอล - หนเลื่อนคนแนมนำโง่นฝ้า คองถ้า ล่วงธาร
ส่องซอด ทางอีศาน ฉบับที่ 14
จอกหนึ่ง พอซิกริกจอกสอง พอแซกแรกจอกสาม พอแปลกความจอกสี่ หลงพี่หลงน้องจอกห้า เห็นป้าว่าแม่นเมียจอกหก ชกปากพ่อเฒ่าจอกเจ็ด แกล้มเป็ดแกล้มไก่จอกแปด ฟ้อนตากแดดว่าแม่นฝนตกรินจอกเก้า ข้าวอยู่เล้านึกอยากขายเกวียนละบาทก็ขายจอกสิบ หลิบพุ้นหลิบพี้จอกสิบเอ็ด ตึ่งลึ่งตึ่ง
บทร้อยกรองของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๒๕-๒๘
๒๕. ชายโสภาใจเย็นนักปราชญ์ ชายฉลาดหลีกเว้นคนผิด คนใช่มิตรผูกจ่องกรรมเวร คนมีเข็ญหาคุณบ่ได้ คนทุกข์ใฮ่เกี่ยวหญ้าหาฟืน บ่ฝ่าฝืนผิดเถียงดูหมิ่น ๒๖. คิดสู่ถิ่นทั่วโลกโลกา กะปูนาหาหัวบ่ได้ ไผหาให้เลี้ยงท้องเขาเอง พวกสัปโปงูเขียวงูเห่า ขึ้นต้นไม้เสือกแล่นตามดิน ตีนบ่มีแล่นไวปานม้า...
ร่วมประกาศชัย
นกอินทรีกระหยับปีกฉีกเวหน
สัตว์ทุกตนตื่นตระหนกทั้งเล็กใหญ่
ลุ้นระทึกเต้นตึกตักตรงหัวใจ
เร่งสัญชาตญาณไพรไหวสั่นรัว
บทกวี: จุดบั้งไฟยังไล่ล่า…
๏ ไฟบั้งเอ้อลังการตระการตา เชิดนาคาพ่นน้ำอร่ามล้น นางฟ้อนย้อนย้ายร่ายร่างทน เซิ้งขอฝนขอรางวัลขันแข่งนั้น หลายร่างชายป้ายแป้งแดงลิปสติก ทำซิกงิกจริตหญิงยิ่งน่าขัน บ้างหาบขยะกับตะกร้าควัน แต่งเพี้ยนกันพลันนึกพิลึกดี โชว์ปลัดขิกอีกเกมสมสู่ ทุกคุ้มสู้ลุ้นรางวัลพนันชี้ ต่างมึนเมาเหล้ายาประชาชี หมกมุ่นมีผีพนันพันละเก
กาพย์ไขโคลงลาวเดิม : ไม้จัน
๏ ไม้จันแห้งแล้วตัด หอบมา แม่นฮู้ว่าผู่สีลา บ่บ้าง ซอยออกเป็นเฝื้องฝา ยังยิ่ง ลูกตะกุนแม่นทุกอ้าง บ่ห่อนม้างบัดสี ฯ (กาพย์ไขโคลง) ๏ ต้นจันแห้งกลางป่า...คนใช้พร้าโค่นตัดลง แบกหามจากป่าดง.....สู่บ้านช่องท้องถิ่นตน ๏ ท่อนใหญ่ให้กลิ่นหอม...ลูกหลานล้อมแบ่งตัดจน...