ผีปอบ
Ogre
Most tales about ogres occur in the northeast of Thailand. The question is: why is there no such story in other regions or in other countries. An expert on this, Dr. Sangan Suwannalert, former Director of Srithanya Hospital, explained that such phenomenon is common worldwide, especially in developing countries. In Thailand ogres are found in every region; it is only demonstrated and named differently.
เรื่อง “ผีปอบ” เป็นข่าวอีก เพราะมีกรณีพรากลูกพรากพ่อแม่ ด้วยการขับไล่ออกจากหมู่บ้านด้วยข้อหาว่าเป็นผีปอบ ความจริงเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาหลายแห่ง แต่ไม่เป็นข่าว มีทีวีบางช่องไปเจาะข่าวแทนที่จะให้คำอธิบาย กลับทำให้สับสนมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้ทำการบ้านเพียงพอ
เรื่องผีปอบส่วนใหญ่เกิดขึ้นทางภาคอีสาน ถามว่าทำไมไม่ค่อยมีทางอื่น ทำไมไม่มีในประเทศอื่นถามผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อย่างคุณหมอสงัน สุวรรณเลิศ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา ได้รับคำตอบว่า ปรากฏการณ์นี้มีอยูทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศไทยก็มีทุกภาคแสดงออกในลักษณะที่แตกต่างกัน เรียกต่างกันเท่านั้น
คุณหมอสงันเป็นนักจิตเวช เป็นคนมหาสารคามเคยวิจัยเรื่องผีปอบในภาคอีสานมามาก และได้นำผลงานวิจัยไปเสนอในงานประชุมนานาชาติในเรื่องลักษณะเดียวกันนี้ งานชิ้นใหญ่สุดเห็นจะเป็นการศึกษาผีปอบแถว ๆ มุกดาหารและธาตุพนมจำนวน ๕๐ กรณี เป็นหญิง ๔๘ คน เป็นชาย ๒ คน
ท่านให้เอกสารงานวิจัยมาหลายชิ้น และให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง (ค้นหาเพื่อมาเขียนบทความนี้ยังหาในห้องสมุดส่วนตัวไม่เจอ) เล่มนี้มีชื่อว่า “ผีปอบ” น่าจะเป็นงานวิจัยและงานวิชาการเล่มเดียวกระมังที่อาจหาญตั้งชื่อนี้ อ่านแล้วก็ได้คำตอบทางจิตเวชว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวคืออะไร
ขอยกมาสัก ๑ กรณีเรื่อง ผีปอบผีเข้า เป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งไปทำงานกรุงเทพฯ กลับบ้านพบว่า เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว แม่ก็แต่งงานใหม่ เมื่อสามีใหม่กินเหล้าเมาทีไรก็ทุบตีแม่ เด็กสาวผู้นี้ก็จะ “ผีเข้า” ผีที่เข้าคือพ่อของเธอที่ตายไปแล้ว
ที่ทุกคนรู้ว่าเป็นพ่อของเธอเพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่พูดเป็นเสียงผู้ชาย คือเสียงของพ่อเธอนั่นเอง แล้วก็มีพฤติกรรมเดียวกับพ่อ คือ ขอเหล้ามากิน บุหรี่มาสูบ ประกาศก้องต่อหน้าสามีใหม่ว่า “กูจะหักคอมึงเพราะมึงทุบตีเมียกู” ชายผู้ถูกกล่าวถึงก็จะหาดอกไม้มากราบขอขมา ผีก็ออก แต่เมื่อเหล้าเข้าปากทีไร พ่อเลี้ยงคนนี้ก็ทำเหมือนเดิม เด็กสาวผู้นี้ก็ผีเข้าเหมือนเดิม
คุณหมอสงันก็จะวิเคราะห์กรณีนี้แล้วให้ยาและแนะนำการปฏิบัติตนของครอบครัวนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผีเข้าเช่นนี้อีก งานวิจัยไม่ได้บอกว่า เป็นอย่างไรหลังจากนั้น แต่ผลการ “วิจัยเชิงปฏิบัติการ” ของคุณหมอสงันทั้ง ๕๐ กรณี ท่านรายงานว่า ส่วนใหญ่อาการดีขึ้น และไม่ปรากฏเรื่องผีปอบผีเข้ากลับมาอีก
ในทางจิตเวช คุณหมอสงันอธิบายว่า ผีปอบผีเข้าเกิดจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางจิต เป็นความกดดันและการรับเอาบุคลิกภาพของอีกคนหนึ่ง (impersonalization) มาอยู่ในตัวเอง อย่างกรณีของเด็กสาวที่มีบุคลิกภาพของพ่อ คำถามก็คือคนตายไปแล้วทำไมยังมาเข้ามาสิงได้อีก
หลายกรณี เหตุเกิดที่หมู่บ้านในชนบทของอีสานคือ มีคนเจ็บป่วยประเภทที่หมอรักษาไม่หายอธิบายไม่ถูกว่าป่วยเป็นโรคอะไร วันหนึ่งคนไข้ก็ “ออกปาก” ว่าเป็นใครที่สิงอยู่ในร่างของตน (มากินตับกินไต) ชาวบ้านก็สรุปว่า สาเหตุของการป่วยไข้มาจากการถูกผีปอบเข้า ก็ต้องไปล่าไปไล่ผีปอบตัวนั้นให้ออกจากคนไข้ และร้ายแรงไปกว่านั้นคือ ไล่ไปจากหมู่บ้านไปเลย
ปกติคนที่ “เป็นปอบ” มักจะเป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ทำตัวเป็นคนลึกลับ หรือมีปัญหา มีความขัดแย้งกับชาวบ้าน หรือเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครไม่ค่อยร่วมงานทางสังคมกับชุมชน อย่างกรณีที่สื่อเสนอเรื่องราวพ่อแม่ลูกพลัดพรากจากกันเพราะถูกหาว่าเป็นปอบ คำอธิบายของผู้ถูกกล่าวหาคือ มีคนพยายามจะฮุบที่ดินของพวกเขาซึ่งมีจำนวนมาก จึงหาทางขับไล่ออกจากหมู่บ้าน
มีบางหมู่บ้านในภาคอีสานได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นหมู่บ้านผีปอบ ชาวบ้านที่มาอยู่รวมกันล้วนแต่ถูกหาว่าเป็นปอบ จนไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในชุมชนเดิมของพวกเขาได้ หมู่บ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคริสต์ แต่เพิ่งมาเป็นตอนที่เข้า มาอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก่อนนั้นเป็นพุทธ ซึ่งอธิบายตามหลักสังคมวิทยาได้ว่า คนเราจำเป็นต้องหาที่พึ่งพา หาชุมชนที่พวกเขาจะได้รับการยอมรับและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
เมื่อเกือบ ๔๐ ปีก่อน ผมมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องผีเข้าผีปอบ และปรากฏการณ์ทางจิตต่าง ๆ กับคุณหมอสงัน เคยไปนั่งดูการทำงานของท่าน การสนทนากับคนไข ้ กับพอ่ แมญ่ าติพี่นอ้ งของคนไข ้ รู้สึกประทับใจที่ท่านไม่เคยดุไม่เคยว่า ไม่เคยดูถูกชาวบ้านว่างมงายไสยศาสตร์
คุณหมอสงันบอกว่า ท่านเองไม่เชื่อเรื่องผี แต่ก็ไม่เคยไปว่าชาวบ้านที่เชื่อเรื่องผีปอบ ผีเข้า ท่านบอกว่าคนเราเชื่อไม่เหมือนกัน ถ้าพวกเขามีความรู้มีการศึกษามากขึ้นก็อาจจะเลิกเชื่อเรื่องผีไปก็ได้ ท่านบอกว่า ไปดุไปว่าพวกเขาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนความเชื่อได้หรอก
ผมได้พยายามศึกษาเรื่องปรจิตวิทยา (parapsychology) เรื่องมิติที่สี่ สัมผัสที่หก เรื่องพลังจิต เรื่องโทรจิต เรื่องญาณ การทรงเจ้าเข้าผี การเห็นอดีตเห็นอนาคต และอื่น ๆ ก็พบว่า คำอธิบายเรื่องกรณีที่ผีเข้าเป็นคนที่ล่วงลับไปแล้ว ทำไมยังมาเข้าคนวันนี้ได้ ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับบรรดาเจ้าเข้าทรง หรือคนลงองค์ลงเจ้า ซึ่งเป็นสื่อ เป็นร่างทรง (medium) ก็จะรับเอาเทพหรือเจ้า หรือคนดีมีบุญที่มรณะไปแล้ว
แม้จิตเวชและวิทยาศาสตร์จะมีคำอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตเหล่านี้ แต่ก็ใช่ว่าจะบอกได้หมด ก็ได้แต่เพียงสันนิษฐานจากความรู้ที่มีอยู่วันนี้เท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า ยังจำกัดอยู่มาก จะบอกว่าบรรดาคนลงองค์ทรงเจ้าล้วนแต่สะกดจิตตัวเองก็พอเข้าใจได้ รวมทั้งอธิบายว่า การสะกดจิตตนเองนั้นมีระดับขั้นพื้นฐานธรรมดาที่เอามีดแหลมแทงทะลุปาก ทะลุลิ้น แขนขา ไปจนถึงมีญาณพิเศษเห็นอดีตและอนาคต
แต่กระนั้นก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่อธิบายไม่ได้หรืออธิบายได้แต่คนไม่ยอมรับ เหมือนเมื่อผมเรียนรู้เรื่องผีปอบจากหมอสงันแล้วกลับไปบ้าน ไปถกเถียงเรื่องนี้กับพ่อ ไปบอกพ่อว่า ผีปอบไม่มีจริงหรอก เป็นปัญหาทางจิต พ่อบอกว่าไม่มีได้ไง พ่อไล่ปอบมากับมือมานับสิบนับร้อย
พ่อผมไล่ปอบได้จริง ตอนเป็นเด็กก็เคยเห็นและกลัวมาก วันนี้สังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน แต่ความเชื่อหลายอย่างก็ไม่ได้เปลี่ยน และยังมีคนเอาเรื่องความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวบ้านมาเป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์จากความไม่รู้ ความโลภ ความหลงของผู้คน
ผมเคยไปพบคนทรงเจ้าและศึกษาอยู่สองสามกรณีเป็นเวลาหลายปี ถามคนหนึ่งที่มีองค์เป็นคนจีนโบราณ เป็นคนที่ดูอนาคตของผมได้แม่นยำมากบอกเตือนก่อนเสมอ ถามเขาว่า คนลงองค์ลงเจ้ามีมากมาย ว่ากันว่าในกรุงเทพฯ มีเป็นหมื่น จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครจริงใครปลอม
ท่านตอบว่า ถ้ามี “ปัจจัย” (ผลประโยชน์) มาเกี่ยวข้องก็ปลอมทั้งนั้น