กลิ่นข้าว กลิ่นดอกไม้ กลิ่นธูป และกลิ่นปิศาจ

กลิ่นข้าว กลิ่นดอกไม้ กลิ่นธูป และกลิ่นปิศาจ

ดอกชมนาด

ดึกสงัด นั่งอยู่คนเดียวในสวน คิดถึงเรื่องราวของเพื่อนผู้ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไปด้วยโรคร้าย ภาพชีวิตทั้งยามสุขและยามทุกข์ เรียงรายปรากฏในความคิดคำนึง พลันจมูกก็ได้กลิ่นธูปโชยมา เหลียวมองไปรอบตัว ไม่มีใครอยู่แถวนี้ โอ๋ย แล้วกลิ่นธูปนี่ มาจากไหน หรือว่าเป็น …..

เหตุการณ์สมมุติข้างต้นนี้ เกิดขึ้นกับใครก็อาจคิดไปว่าเป็นวิญญาณผู้ตายมาหา กลิ่นที่ชวนขนหัวลุกนี้อาจเป็นกลิ่นธูป กลิ่นเหม็นไหม้ เหม็นเน่า ที่เป็นกลิ่นหอมก็มีเช่นกัน มักหอมอ่อน ๆ เย็น ๆ ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี

วิทยาศาสตร์มองว่า กลิ่นเป็นสารเคมีที่เมื่อจับกับตัวรับกลิ่น ในส่วนบนของโพรงจมูกแล้ว ส่งสัญญาณไปยังสมอง หลังจากประมวลผลเปรียบเทียบกับกลิ่นและเหตุการณ์ในอดีต กำหนดเป็นการแสดงออกที่ยอมรับหรือไม่ยอมรับกลิ่นนั้น และยังเชื่อมโยงไปถึงความรู้สึก และอารมณ์อื่น ๆ

คนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก ในข้าวมีสารเคมีชนิดหนึ่ง ตั้งชื่อให้คนทั่วไปเรียกยากว่า สอง-อะเซทิลไพรอลลีน หรือ สอง-เอพี (2-acetyl1pyrroline หรือ 2-AP)ให้ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าว โดยเฉพาะ ในข้าวขาวดอกมะลิพันธุ์ ๑๐๕ ที่คนไทยคุ้นเคยนั้น ๑ กิโลกรัม มีสารหอมนี้อยู่ราว ๓ กรัม กินข้าวกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ได้กลิ่นนี้เมื่อใดก็นึกถึงข้าวเมื่อนั้น สารกลิ่นหอมชนิดเดียวกันนี้ยังพบได้ในพืชชนิดอื่น ๆ เช่น ใบเตยหอมและดอกชมนาด โดยในใบเตยสด ๑ กิโลกรัม มีสารหอมอยู่ ๑๐.๓ กรัม มากกว่าในข้าวถึงสามเท่ากว่า ส่วนในดอกชมนาดนั้น ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก กล่าวคือในดอกแห้ง ๑ กิโลกรัม มีสารหอมนี้ถึงราว ๒๖ กรัมทีเดียว

ความรู้เช่นนี้ ทำให้สามารถหุงข้าวทุกชนิดให้หอมได้ โดยใส่ใบเตย หรือดอกชมนาด ลงไปในข้าวขณะหุง กลิ่นหอมชนิดนี้ปะปนอยู่ในอาหารใด คนที่กินข้าวมาแต่อ้อนแต่ออก ก็บอกอาหารนั้นน่ากินทั้งสิ้น

การที่คนเรากินอาหารไปพร้อมกับการได้กลิ่น ทำให้เราผูกพัน เชื่อมโยงทั้งกลิ่นและรสชาติของอาหาร ไปกับความรู้สึกอื่น ๆ ก๋วยเตี๋ยวผัด ลูกชิ้นปิ้ง หรือไอศกรีม ที่เคยซื้อกินหน้าโรงเรียนตอนเด็ก ด้วยราคาที่ขายให้เด็ก คงไม่เอร็ดอร่อยไปได้ แต่น่าแปลกนัก แม้ล่วงเลยมาหลายสิบปี นึกถึงอาหารเหล่านั้นคราใด ก็รู้สึกว่าอาหารนั้นอร่อย และสุขใจยิ่งนัก

มันบ่ามู่

อาหารที่ผูกพันกับความรู้สึกเช่นนี้แหละ ที่เรียกว่า อาหารอร่อยใจ (soul food) มันป่าชนิดหนึ่ง คนภาคเหนือเรียก บ่ามู่ เดี๋ยวนี้หากินยากสักหน่อย เพราะไม่ค่อยมีคนปลูก ถามคนพื้นถิ่นเหนือที่เคยกินมันชนิดนี้มาแต่เด็ก บอกอร่อยทุกคน หากถามว่าอร่อยอย่างไร คราวนี้ตอบยาก แต่ถ้าให้คนที่ไม่เคยกินบ่ามู่ ลองกินดู คำตอบจะเป็นอีกอย่าง คนที่เคยกินบ่ามู่ ผูกพันทั้งรสชาติทั้งกลิ่น กับห้วงเวลาในอดีต ความรู้สึกอร่อยนั้นจึงเจือปนไปด้วยความสุขในวัยเด็ก

ในทางตรงข้าม กลิ่นที่เรารู้สึกเมื่อยามโศกเศร้า เช่น กลิ่นน้ำอบที่ใช้อาบน้ำศพ หรือกลิ่นดอกไม้ที่ใช้ทำพวงหรีด เมื่อได้กลิ่นเหล่านี้อีกคราใด ก็หวนรับรู้ความทุกข์โศกอีกครั้ง เมื่อก่อนคนไทยนิยมประดับงานศพด้วยดอกซ่อนกลิ่นหรือซ่อนชู้ หลายสิบปีผ่านไป ได้กลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านี้เมื่อใด ก็รู้สึกคล้ายว่าอยู่ในงานศพทุกที

ดอกซ่อนชู้

ซ่อนชู้ เป็นชื่อที่ใช้เรียกซ่อนกลิ่น ชนิดที่มีกลีบดอกซ้อน เป็นพืชล้มลุก มีหัวใต้ดินที่ใช้ขยายพันธุ์ได้ ชอบแดด ทนร้อน ทนแล้ง มีใบสีเขียวแคบยาวราวศอก แทงออกจากหัวใต้ดินเป็นวงรอบ  ช่อดอกยาวเกินศอกเล็กน้อย ดอกย่อยขนาดปลายนิ้วหัวแม่มือ กลีบดอกสีขาวเป็นมัน บานจากดอกล่างขึ้นบน ส่งกลิ่นหอมตอนกลางคืน ดอกซ่อนชู้นี้ยังส่งกลิ่นหอมไปได้อีก ๑-๒ วัน หลังถูกตัดจากต้นมาแล้ว

ซ่อนชู้มีกำเนิดในอเมริกากลางและเม็กซิโกตอนใต้ เข้าใจกันว่า ชาวสเปนนำซ่อนชู้มาสู่เอเซียก่อนที่จะแพร่เข้าไปในทวีปยุโรปภายหลัง คนไทยรู้จักปลูกซ่อนกลิ่น-ซ่อนชู้ มานานกว่าสามร้อยปี ดัง ลา ลูแบร์ ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นดอกซ่อนชู้เป็นอันมากในสวนของชาวสยาม”

น้ำมันหอมที่สกัดจากดอกไม้ชนิดนี้ มีราคาแพงถึงกิโลกรัมละหลายหมื่น ถึงหลายแสนบาท ขึ้นอยู่กับวิธีการสกัดและความบริสุทธิ์  ประมาณว่า เพื่อให้ได้น้ำมัน ๑ ส่วน ต้องใช้ดอกซ่อนชู้ถึงกว่าสามพันส่วนทีเดียว

น้ำมันดอกซ่อนชู้ มีคุณสมบัติระงับการอักเสบ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ สารเคมีหลายชนิดที่อยู่ในน้ำมันนี้ มีผลต่อสมองและระบบประสาท คนส่วนใหญ่ยอมรับว่า กลิ่นหอมของดอกซ่อนกลิ่น-ซ่อนชู้ มีมนต์สะกด ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและปรับสมดุลของอารมณ์ บางคนยังเชื่อว่า มีฤทธิ์กระตุ้นกำหนัด เสริมพลังทางเพศ

ความรู้สึกเชื่อมโยงดอกซ่อนชู้กับงานศพ เป็นเฉพาะคนไทยรุ่นที่เคยใช้ทีวีขาวดำ เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ดอกไม้นี้ในงานศพกันแล้ว ส่วนคนชาติอื่น ๆ ล้วนเห็นต่างไป มีออกบ่อยครั้งที่เห็นช่อดอกซ่อนชู้ประดับในแจกันบนโต๊ะอาหาร

การรับรู้กลิ่น ไม่ว่าหอม หรือเหม็น ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญ ที่ทำให้สัตว์เลือกรับ หรือเผชิญกับสิ่งที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตราย หรือเป็นโทษ ในหลายวัฒนธรรม กลิ่นยังใช้บำบัดและป้องกันความเจ็บไข้ มีการใช้กลิ่นหอมของดอกไม้ กำยาน ธูป ในระหว่างการทำสมาธิ หรือสวดบริกรรม เพื่อทำให้สมองแจ่มใส มีสมาธิ และปรับสมดุลของอารมณ์

ข้อสรุปจากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ชี้ว่า ผู้สูงอายุที่จำแนกแยกแยะกลิ่นไม่ได้ มีโอกาสเสียชีวิตได้ใน ๕ ปี นี่ งานวิจัยดังกล่าว ได้ให้ผู้สูงอายุกว่าสามพันคน ดมกลิ่นที่คนทั่วไปคุ้นเคย ๕ อย่าง ได้แก่ กลิ่น เปปเปอร์มิ้นท์ กลิ่นปลา กลิ่นส้ม กลิ่นกุหลาบและกลิ่นหนัง จากนั้นติดตามการเสียชีวิตใน ๕ ปีต่อมา ผลการวิจัยพบว่า ในผู้ที่บ่งบอกกลิ่นได้เพียง ๑ อย่าง  เสียชีวิตร้อยละ ๓๙ ในขณะที่ผู้ที่บ่งบอกกลิ่นได้ ๒-๓ อย่าง เสียชีวิตร้อยละ ๑๙ และผู้ที่บ่งบอกได้ทั้ง ๕ กลิ่น เสียชีวิตเพียงร้อยละ ๑๐  การศึกษานี้ทำอย่างรัดกุม มีการปรับค่าความคลาดเคลื่อน ที่อาจเกิดจากปัจจัยทางสุขภาพอื่น ๆ รวมทั้ง อายุ เพศ เชื้อชาติ และสังคมเศรษฐกิจ

คณะผู้วิจัย ยังชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ว่าสารพิษจากสิ่งแวดล้อม หรือความเสื่อมที่สืบเนื่องจากโรคอื่น ๆ อาจเป็นตัวการทำลายสมองส่วนที่รับสัญญาณกลิ่น

แล้วการได้กลิ่นที่ไม่มีอยู่จริงเป็นไปได้อย่างไร วิทยาศาสตร์การแพทย์ มีศัพท์สำหรับเรียกความผิดปกติเช่นนี้ว่า กลิ่นปิศาจ  หรือแฟนโตสมียร์ (phantosmia) มาจากคำว่า แฟนโต หรือ แฟนท่อม แปลว่า ปิศาจ และ ออสเม่ หรือ ออสเมีย แปลว่า กลิ่น นิยามง่าย ๆ แบบให้คนเรียนแพทย์เข้าใจก็ต้องว่า ภาวะเช่นนี้คือ อาการประสาทหลอนทางการได้กลิ่น (olfactory hallucination) อาจเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาท ที่นำส่งสัญญาณจากจมูกไปสมอง หรือ ความผิดปกติในส่วนของเส้นประสาทในสมองเอง ทั้งที่เป็นกระแสไฟฟ้า หรือสารสื่อประสาท หรือเกิดจากทั้งสองอย่างร่วมกัน ถ้ายังฟังดูยากอยู่ ก็พูดง่าย ๆ แบบให้ชาวบ้านเข้าใจได้คือ เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในสมองนั่นเอง

การลัดวงจร ทำให้เกิดการกระตุ้นความรับรู้กลิ่นที่เคยเก็บไว้เป็นความทรงจำออกมา เมื่อรับรู้กลิ่น ก็เชื่อมโยงกับอารมณ์ อาจเบิกบาน เศร้าโศก หรือหวาดกลัว

ถามต่อไปว่า อะไรทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรเช่นนี้ ตอบว่า หลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การติดเชื้อในโพรงจมูก เนื้องอกในสมอง โรคลมชัก สมองเสื่อมแบบที่เรียกว่าโรคพาร์กินสัน สมองได้รับการกระทบกระเทือน ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่ของคนที่มีอาการ ได้กลิ่นปิศาจ มักหาสาเหตุไม่ได้

ทำไมกลิ่นปิศาจจึงมักเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ บ้างก็ว่าคล้ายกลิ่นบุหรี่ บ้างก็ว่าคล้ายกลิ่นธูป ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนนัก รู้กันแต่เพียงว่า กลิ่นไหม้ดังกล่าว มักมีสารเซเลเนียม กำมะถันหรือกรดอะมิโนชื่อซีสเทอีน ร่วมอยู่ด้วย และสารเหล่านี้ มักเกิดร่วมในกระบวนการย่อยสลายในทุก ๆ เซลล์ของร่างกาย

เราทุกคนอาจเคยมีอาการ ได้กลิ่นปิศาจมาแล้ว เพียงแต่อาการนั้นเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็หายไป บางทีก็ไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ ว่ามีต้นเหตุของกลิ่นอยู่หรือไม่

ช่วงฤดูแล้ง ทางภาคเหนือมีหมอกควันมาก ได้กลิ่นไหม้ กลิ่นควัน ไม่แปลกอะไร แต่พอถึงเดือนพฤษภาคม ผมก็ยังได้กลิ่นไหม้คล้ายกลิ่นควันอยู่เป็นระยะ ได้กลิ่นแม้กระทั่งในห้องทำงานที่ไม่มีใครสูบบุหรี่ อดคิดไม่ได้ว่านี่เราสมองเสื่อม หรือเป็นเนื้องอกในสมองหรือเปล่า ก็กลัวไปต่าง ๆ นานา สมกับที่โบราณว่า “รู้มากทำให้ยากนาน” อยู่ไม่ค่อยเป็นสุขสักเท่าไร

เย็นวันหนึ่ง หลังจากอุ่นต้มยำปลาที่ทำไว้แต่เมื่อเช้า ตักใส่ถ้วยมานั่งกินอยู่ในห้องคนเดียว ขณะที่ใจยังอดคิดเรื่องกลิ่นปิศาจไม่ได้ พลันก็ได้กลิ่นไหม้เช่นเดิมอีก กลิ่นแรงขึ้น ๆ จนแทบสำลัก เหลียวมองรอบตัว ก็ไม่มีใครหรืออะไรที่เป็นต้นเหตุ นึกสงสัยอยู่ว่า กลิ่นปิศาจรุนแรงถึงเพียงนี้หรือ

เปิดประตูห้องออกไป ควันฟุ้งหนาทึบ เหม็นไหม้ตลบอบอวล ต้นเหตุมาจากหม้อต้มยำในครัวที่ผมลืมปิดเตาแก๊สนั่นเอง เสียหม้อไปหนึ่งใบกับได้กลิ่นเขม่าควันติดห้องครัวอยู่หลายวัน

ส่วนอาการได้กลิ่นปิศาจ ที่เคยกังวลก็ไม่หวนกลับมาอีกเลย

***

คอลัมน์ ผักหญ้าหมากไม้ นิตยสารทางอีศาน ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๔ | สิงหาคม ๒๕๖๐

.
ราคาเล่มละ ๑๐๐ บาท
สมัครสมาชิก ครึ่งปี ๖๐๐ บาท
หนึ่งปี ๑,๑๐๐ บาท
ตลอดชีพ ๙,๕๐๐ บาท (ได้รับหนังสือย้อนหลัง)
.
สั่งซื้อ// ชำระเงิน // สอบถามเพิ่มเติม ได้ทาง
inbox หนังสืออีศาน m.me/166200246799901
line id : @chonniyom (มี@) คลิก https://lin.ee/amxqtvW
อีบุค ที่ www.mebmarket.com


โทร. 086-378-2516
บริษัท ทางอีศาน จำกัด
244/539 รามอินทราซอย 5 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 10220

 

Related Posts

โลกเปลี่ยน เรียนรู้ อยู่รอด
คําผญา (๑๙) “สุขทุกข์นี้ของกลางเทียมโลก บ่มีไผหลีกล้มลงหั้นสู่คน”
แหล่งตัดหินบ้านกรวด เปิดปมปริศนาเทวาลัย
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com