ประวัติและที่มา ทำไมเวลาคนใกล้สิ้นใจต้องให้ท่องคำว่า “อรหัง”
ประวัติและที่มา ทำไมเวลาคนใกล้สิ้นใจต้องให้ท่องคำว่า “อรหัง”
กาลอันล่วงเลยมานานแสนนานแต่สามารถกำหนดช่วงเวลา กำหนดวัน กำหนดเดือน กำหนดปีที่เกิดเหตุการณ์ได้ และสามารถที่จะกำหนดเป็นศตวรรษได้ โดยเริ่มต้นจากกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในสมัยที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในยุคแรก ๆ มีหลากหลายครั้งและหลากหลายเส้นทาง ครั้งแรกที่ปรากฏหลักฐานชัดเจน เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการนั้น หลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ประมาณ พ.ศ.๓๐๓ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ในการทำสังคายนาครั้งนี้ ได้ทรงเลือกพระเถระองค์สมาชิกในการทำสังคายนา เลือกสรรเอาแต่พระมหารเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วก็ส่งไปเป็นสมณทูตศาสนธรรม ออกไปเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งที่เป็นดินแดนของอินเดียในปัจจุบัน และต่างประเทศที่ใกล้เคียง รวมทั้งสิ้น ๙ สายเส้นทาง สำหรับเส้นทางสายที่ ๘ โดยการนำของพระโสณะเถระและพระอุตตรเถระ พร้อมด้วยคณะมีพระฌานิยะ พระภูริยะ พระมุนียะ นอกจากนี้ ยังมีสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ร่วมคณะจำนวน ๓๘ รูป/คน ที่ปรากฏชื่อในจารึก เช่น อตุลยะ อปัจจะ และเมียชื่อ อุตลยา เป็นอิสสรพราหมณ์ นอกนั้นมีเขมกอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา เป็นต้น
คณะทูตศาสนธรรมได้ออกเดินทางจากอินเดีย โดยใช้การเดินทางเรือเข้าเทียบท่า แล้วเข้าแวะพักที่เมืองช้างค่อมหรือนครศรีธรรมราชแล้วเดินทางต่อมายังเมืองทองสุวรรณภูมิหลังมีการทำสังคายนาแล้วเสร็จใหม่ ๆ เดินทางมาถึงเมื่อเดือนอ้ายขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีฉลู ต่อมาในวันรุ่งขึ้น ๑๕ ค่ำ พระโสณเถระได้แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก มีชื่อเรื่องว่า “พรหมชาลสูตร” หลังจากฟังเทศน์จบทำให้ผู้คนที่เข้าฟัง และผู้ฟังนำไปบอกต่อญาติมิตรทำให้ผู้คนในดินแดนแถบนี้ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาพากันเข้าถึงพระรัตนตรัย ปรากฏว่าได้มีผู้ชายขอบวชเป็นพระภิกษุมีจำนวนมากถึง ๑,๐๐๐ รูป และมีผู้หญิงได้ขอบวชเป็นแม่ชีจำนวน ๑๐๐ คน นับว่าเป็นจุดกำเนิดของแม่ชีไทยที่มีมาในกาลครั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะว่ากาลครั้งนั้นไม่มีภิกษุณีมาด้วย และการบวชชีง่ายกว่ารักษาศีลน้อยกว่ามีความเหมาะสมกว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบหลักฐานของชื่อ “วัดประชุมนารี” อยู่ที่บ้านโสนใหญ่หรือสระบางควายใหญ่ ที่เมืองพริบพลีหรือจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน
กาลครั้งนั้นแล ผู้คนที่อาศัยอยู่ยังดินแดนแถบนี้เรียกว่า สยามประเทศหรือประเทศไทยในปัจจุบัน ในสมัยก่อนโน้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ โดยในยุคนั้นสังคมไทยกำลังได้รับพระพุทธศาสนาใหม่ ๆ ผู้คนประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเข้าป่าล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีเรื่องเล่ากันมานานว่า ยังมีครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกในครอบครัวมีนายสมเป็นพ่อ มีนางสายทองเป็นภรรยา และมีลูกชายชื่อว่า ทอง ลูกสาวชื่อว่า สุนี เมื่อเสร็จจากการทำไร่ทำนาแล้ว ก็มักจะเข้าป่าหาล่าสัตว์ หากเหลือกินก็จำนำไปขายที่ตลาด นับว่าเป็นอาชีพที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
กาลเวลานั้นผู้คนในละแวกนี้ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนากันแล้ว นับตั้งแต่ยุคต้น ๆ ที่พระมหาเถระนำเข้ามาเผยแผ่ และครอบครัวของนายสมก็ส่งลูกชายเข้าไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วย คราวนั้นนายสมได้มีอายุมากแล้วประมาณ ๘๘ ปี เกิดล้มป่วยลงตามอายุขัยของมนุษย์ โรคร้ายได้กำเริบขึ้นทุกวันจนอาการป่วยหนักขึ้นทุกวัน พอถึงวันใกล้จะสิ้นใจตายด้วยอำนาจแห่งกรรมไม่ดีที่ตนกระทำมา โดยเฉพาะกรรมที่ออกป่าล่าสัตว์มาแต่ยังเด็ก พฤติกรรมการล่าก็คือการทำร้ายชีวิตสัตว์ให้สิ้นไป หรือบางครั้งก็ทรมานสัตว์ เหล่าสัตว์ทั้งหลายที่ถูกนายสมฆ่าเอาเนื้อหนังไปกินไปขาย ก่อนจะตายสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นที่ตนเคยฆ่าในกาลก่อน ก็พากันมาปรากฏอยู่ให้เห็นเฉพาะหน้า ล่องลอยหมุนเวียนไปมาเป็นตัวสัตว์น้อยใหญ่ชนิดต่าง ๆ
อยู่มาวันหนึ่งเมื่อพระลูกชายมาเยี่ยม จึงได้บอกแก่บุตรชายผู้บวชเป็นพระภิกษุให้ทราบว่า “ตนเองได้เห็นภาพสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนเคยฆ่าเคยร้าย ได้มาปรากฏภาพให้เห็นอยู่ประจำ พ่อมีความกลัวต่อสัตว์ทั้งหลายที่มาปรากฏให้เห็น เหมือนกับว่าจะเข้ามาท้วงเอาชีวิตตน จึงเกิดความสะดุ้งตกใจกลัวในเหตุการณ์นี้ยิ่งนัก…!” เป็นเหตุให้นอนสะดุ้งหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ก่อความรำคาญให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้างด้วย
เมื่อพระลูกชายได้ยินพ่อพูดเช่นนั้น ครั้นทราบแล้วได้นำมาวิเคราะห์สาวหาเหตุตามหลักพุทธธรรม ก็ได้คำตอบทันทีพร้อมกับนึกรู้อยู่ในใจว่า “นั่นเป็นภาพอกุศลกรรมที่มาปรากฏในจิตของบิดาตน ที่เคยประกอบการล่าพร้อมกับฆ่าสัตว์อื่นมามากต่อมาก เมื่อพอเวลาใกล้จะหมดบุญจวนตาย ดวงวิญญาณของพ่อจะรับรู้หรือมองเห็นสัตว์เหล่านี้ ได้พากันติดตามมาหลอกหลอนดวงจิตของพ่อตลอดเวลา…!”
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วจึงรับสั่งให้น้องสาวจัดหาดอกไม้ธูปเทียนมาให้ แล้ววางใส่ในมือบิดาพร้อมกับบอกว่า “พ่อเอ๋ย…! จงเล็งสายตามองมาดูดอกไม้ธูปเทียนนี้ จงรำลึกบูชาถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เถิด จงตั้งจิตตั้งใจเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยเถิดพ่อ…!” เพื่อที่จะช่วยให้บิดามีอารมณ์เดี่ยว จิตก็จะเป็นสมาธิ ภาพหลอกหลอนของสัตว์เหล่านั้นก็จะหายไป
ครั้นเมื่อบิดาได้ยินคำแนะนำของพระลูกชายบอก ก็กระทำตามที่พระลูกชายได้แนะนำธรรมนั้น บวกกับต้นทุนของจิตที่เคยเคารพนับถือพระพุทธศาสนามาแต่ต้นอยู่แล้ว จิตก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ความสะดุ้งตกใจกลัวก็ค่อย ๆ จางหายหมดไป ก็เพราะจิตสัมปยุตต์ด้วยกุศล (สํ (พร้อม) + ป (ทั่ว) + ยุตฺต (ประกอบ) + จิตฺต(จิต) จิตที่ประกอบทั่วพร้อม หมายถึง จิตทประกอบด้วยเจตสิกที่เด่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตดวงนี้แตกต่างจากจิตดวงอื่น ๆ สัมปยุตตจิตมี ๕ ประเภท ได้แก่ โลภมูลจิต ๔ ดวงที่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย โทสมูลจิต ๒ ดวงที่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย โมหมูลจิตที่มีวิจิกิจฉาเจตสิกเกิดร่วมด้วย โมหมูลจิตที่มอุทธัจจเจตสิกเกิดร่วมด้วย และโสภณจิต ๔๗ดวงที่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย) สิ่งที่เป็นอกุศลก็จะอันตรธานหายไปทันที ครั้นสิ้นชีพวายชนม์ไปก็จะได้ไปเกิดบนสรวงสวรรค์
เพราะว่าอารมณ์ก่อนที่จะสิ้นลมหายจะสำคัญมาก ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายของภพชาติ หากจิตมีอารมณ์ดีเป็นกุศลก็จะได้รับแต่สถานที่ดี ๆ จะไปเกิดในสวรรค์ แต่ถ้าว่าอารมณ์ของจิตรับแต่สิ่งที่เป็นอกุศลเป็นอารมณ์ไม่ดี ก็จะส่งผลให้ไปเกิดในสถานที่ไม่ดีมีแต่ความทุกข์นั่นคือนรก
ด้วยเหตุแห่งความเชื่อดังกล่าวนี้ นับตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมาชาวพุทธทั้งหลาย คติความเชื่อดังกล่าวนับแต่ผู้คนรุ่นก่อนมา
จนถึงชนรุ่นหลัง ๆ ก็ได้พากันกระทำกันสืบ ๆ มา ด้วยความเชื่อและคาดหวังว่า ผู้ที่ป่วยก่อนจะสิ้นลมหายใจตายให้รำลึกนึกถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จิตก็จะเกิดความเชื่อความเลื่อมใสขึ้นในดวงจิตนั้น ๆ นอกจากนี้ ในเวลามัดตราสังศพก็ยังให้มือศพถือเอากรวยดอกไม้ธูปเทียน ก็เพราะว่าจะให้ผู้ตายนำไปบูชาพระจุฬามณี สถานที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมกับบริกรรมภาวนาว่า
“ธนํหตฺเถ. ทรัพย์สินเป็นห่วงผูกมือ นำด้ายที่ผูกมือไปผูกคอ ภาวนาว่า ปุตฺโต คีวํ หรือ คีเว. บุตรเป็นห่วงผูกคอ และผูกเท้ากล่าวว่า ภริยา ปาเท. ภริยาเป็นห่วงผูกเท้า)”
ตรงกับภาษิตโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ตัณหาฮักลูกเหมือนดังเชือกผูกคอ ตัณหาฮักเมียเหมือนดังปอผูกศอก ตัณหาฮักเข้าของเหมือนดังปอกสุบตีน ตัณหาสามอันนี้มาขีนให้เป็นเชือก ให้กลิ้งเกลือกอยู่ในวัฏฏะสงสาร…!” อีกทั้งนับว่า ดอกไม้ธูปเทียนเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำดี และเป็นสัญลักษณ์แห่งชาวพุทธที่ยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ครั้นผู้ป่วยเจ็บหนักจวนจะสิ้นใจตาย คำว่า พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นพระรัตนตรัยที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา จึงได้สรุปย่อเหลือเพียงสั้น ๆ เพื่อที่จะให้ผู้ตายจดจำได้ง่ายขึ้น เพราะเวลาจวนใกล้ตายทุกขเวทนาจะมีมาก บางครั้งผู้กำลังป่วยใกล้ตายรับทุกขเวทนาเจ็บปวดมาก อาจไม่ได้ยินคำว่า“พระรัตนตรัย” อีกทั้งเวรกรรมก็ตามมาด้วยจึงได้นิยมให้ผู้ป่วยบริกรรมเพียงคำว่า “อรหัง” เท่านั้น
ผู้พยาบาลอยู่ข้าง ๆ ก็มักตะโกนบอกดัง ๆ ว่า อรหัง อรหัง อรหัง… ให้ผู้ป่วยได้ยินคำนี้ ชัด ๆ คำว่า อรหัง หมายถึง พระอรหันต์ ผู้หมดจดจากกิเลส ผู้ไม่มีกรรมชั่วแล้ว ผู้มีแต่กรรมดี ผู้บริสุทธิ์สะอาด ผู้มีแต่ความสุขตลอดกาล ผู้เป็นธงชัยแห่งความดีทั้งหลาย กล่าวโดยนัยก็เพื่อให้จิตจวนใกล้จะตาย เมื่อเคลื่อนออกจากร่างจะได้รำลึกถึงคุณพระอรหันต์ มีหน่วยแห่งคุณพระเป็นอารมณ์ เมื่อดับขันธ์แล้วก็จะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ (จึงมีคำสำนวนที่ว่า “อรหัง”)
ปรัชญาจากตำนานชาวอุษาคเนย์ปรัมปรา
นิทานปรัชญาชาวบ้านปรัมปราเรื่องนี้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องการทำความดี หากจะมาทำแค่ก่อนสิ้นลมหายใจ จะมานึกถึงแค่พระอรหันต์คงจะไม่เพียงพอแน่ เพราะกรรมบางครั้งหากสะสมกรรมชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ถึงจะเอาพระอรหันต์มาช่วยในระยะเท่านี้ คงไม่ทันการณ์เพราะกรรมชั่วมันจะดึงไปหมด กรรมชั่วมันหนักหรือเป็นเวรกรรมที่หนัก จะเอาอะไรมาช่วยก็ช่วยไม่ได้แล้ว ดังคำพุทธภาษิตที่ว่า“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” (ม.ม. ๑๓/๖๔๘, ขุ.สุ. ๒๕/๔๕๗) จะเห็นได้ว่า ตามหลักพุทธปรัชญา สัตว์โลกทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ดิรัจฉานจะต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรมทั้งนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพราะกรรมพามา สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย เช่น สุนัข ช้าง ลิง ม้า หมู วัว ควาย แมว เป็นต้น ที่มาเกิดในสภาพเช่นนี้ก็เพราะกรรมพามา เพราะฉะนั้นจงเริ่มทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พอใกล้วันจะสิ้นลมหายใจมาไม่นึกถึงมันก็มาเอง เพราะกรรมดีก็มาแรงเช่นกัน