“แก่นชีวิต ความคิดฝัน สนั่น ชูสกุล”
๑
รฦก
๕ ปีที่จากไป
ส นั่ น ชู ส กุ ล
[๗ ธันวาคม ๒๕๐๒ ~ ๖ เมษายน ๒๕๕๙]
****
อีสานปกครองตนเอง
ระบอบประชาธิปไตยแบบที่ประเทศไทยเราใช้ปกครองกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นระบอบที่เราลอกเลียนมาจากการปกครองในประเทศตะวันตก ด้วยความจำเป็นของกระแสโลกที่เราจะต้องเดินตามแบบเขาประการหนึ่ง และความหลงในความศิวิไลซ์ของชาวฝรั่งอีกประการหนึ่ง
ในความเป็นจริง หลายอย่างที่เราทำตามเขาอยู่นั้นเขาเลิกใช้ไปแล้ว ประเทศเหล่านั้นเขาเคารพสิทธิเสรีภาพและกระจายอำนาจการปกครองเป็นรัฐย่อย ๆ ปกครองตัวเองกันอย่างแข็งแรง และเคารพในหลักกฎหมายที่ใช้ดูแลจัดการสังคมอย่างเคร่งครัด แต่การปกครองของเรามุ่งลอกเลียนเขามาเพียง “รูปแบบ” ที่จัดให้มี “การเลือกตั้ง” เท่านั้น เรารวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลาง กลายเป็นโครงสร้างทางการเมืองแบบ “เน่า ๆ” ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของประชาชน นักการเมืองก็ทำเพื่อประโยชน์ของตนและพรรคพวกมากกว่าประโยชน์สาธารณะ เกิดทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงกันมโหฬารอย่างที่เห็นกันอยู่
ความจริงที่ลึกกว่านั้นก็คือ ระบอบการปกครองที่เราลอกฝรั่งเขามานี้ เป็นระบอบที่ฝรั่งเขาใช้ในการปกครอง “เมืองขึ้น” ของเขา ผู้ปกครองของเราในอดีตนำมาปกครองราษฎรของตนและสร้าง “เมืองขึ้นภายใน” ขึ้นมา จึงเป็นอันว่าทุกเมืองต้องเป็นเมืองขึ้นของกรุงเทพฯ ราษฎรทั้งหลายเป็นขี้ข้าที่ว่านอนสอนง่ายของเจ้านาย ในปัจจุบัน แม้รูปแบบของความเป็นเมืองขึ้นและความเป็นขี้ข้าจะเปลี่ยนไป แต่เนื้อหายังอยู่ครบ
ระบอบประชาธิปไตยอันโก้เก๋ที่เราใช้กันอยู่จึงไม่สามารถแก้ปัญหาแท้จริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มีแต่ “ความเท่” ที่ได้มีการ “เลือกตั้ง” แม้แต่ในกระบวนการเลือกตั้งเองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการโกงได้ เช่นการซื้อเสียงชาวบ้าน ซื้อ ส.ส. ซื้อพรรค ถึงเราจะเขียนรัฐธรรมนูญให้สวยหรูปานใดมันก็จะแก้ไม่ตก นี่คือความอับจนของระบอบประชาธิปไตยที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน”
ประชาธิปไตยที่เราเรียนมา อ้างกันว่าเกิดขึ้นที่นครรัฐเอเธนส์ ประเทศกรีก แท้จริงแล้วคือเกิดขึ้นในระดับชุมชน เป็น “ประชาธิปไตยทางตรง” ที่พลเมืองจัดการปกครองกันเอง (พลเมืองของเขาไม่รวมพวกทาส เด็กและผู้หญิง คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ และถูกกดขี่มาอีกนานในสังคมตะวันตก) และในประวัติศาสตร์ของชาวตะวันตกจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีประชาธิปไตยมาแต่เดิมเหมือนที่กล่าวอ้างกัน มีแต่ประวัติของการไล่ล่าตีเมืองขึ้นกันมาตลอด จนเมื่อพวกนายทุนโค่นระบอบกษัตริย์ลงไปเมื่อสองร้อยปีก่อนนี่เอง จึงได้มีระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งขึ้นมา โดยอ้างว่าเพราะไม่มีสถานที่ประชุมเพียงพอรองรับทุกคน จึงต้องเลือก “ตัวแทน” ไปทำหน้าที่แทนราษฎร “ตัวจริง” หรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางอ้อม”
ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนโดยแท้จริงก็คือ ระบอบของการสถาปนาอำนาจโดยชนชั้นนายทุน และเกิดขึ้นในยุคของการสร้าง “รัฐชาติ” เมื่อสองร้อยกว่าปีมานี้นั่นเอง !
หากนิยามของการปกครองระบอบประชาธิปไตย หมายถึง “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” เราก็สามารถกล่าวได้ว่าชุมชนทั่วโลกมีระบบการปกครองตนเองมาแต่เดิมทั้งสิ้น เป็นหน่วยการปกครองตนเองที่เป็น “ประชาธิปไตยทางตรง” หรือ “ประชาธิปไตยชุมชน” ก่อนมีการปกครองแบบ “ประชาธิปไตยตัวแทน” ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมตะวันออกนั้นมีมานานหลายพันปี แต่ชนชั้นนำที่มีอำนาจกำหนดระบอบการปกครองของเราไม่เคยสำนึกว่า พื้นฐานชุมชนและสังคมบ้านเราก็เคยมีระบบการปกครองดั้งเดิมของเราเองอยู่แล้ว เป็นระบบที่คิดค้น สั่งสม ถ่ายทอดกันมา ปรับแปลงให้ทันยุคสมัยตลอดเวลาเช่นกัน
การปกครองตนเอง หรือ “ประชาธิปไตยชุมชน” ของชุมชนอีสาน
ตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งบ้านและเมืองในอีสานมีระยะทางห่างไกลจากเมืองหลวง การเข้ามาควบคุมดูแลจากเมืองหลวงอย่างใกล้ชิดและเข้มงวดเป็นไปได้ลำบาก แต่ละครอบครัวแต่ละชุมชนและแต่ละเมืองล้วนต้องดิ้นรนดำเนินชีวิตไปด้วยตนเอง เพื่อให้อยู่รอดและมีความสงบเรียบร้อยในการอยู่รวมกัน อาจกล่าวได้ว่า ตลอดช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นชุมชนอีสานดำรงอยู่โดยค่อนข้าง “อิสระ” และมีการจัดตั้ง “ระบบการปกครองตนเอง” ขึ้นมา ชุมชนยังได้สร้างระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพและพึ่งตนเองเพื่อการอยู่รอด บนฐานทรัพยากรดิน น้ำ ป่าอันอุดมสมบูรณ์ ผู้คนหลายชาติพันธุ์ที่เป็นชนพื้นเมืองเดิมและที่อพยพเข้ามาสมทบใหม่ในภายหลัง ได้รวมตัวหล่อหลอมทางวัฒนธรรม จนผสมกลมกลืนเป็น “คนพวกเดียวกัน” ด้วยการกล่อมเกลาโดยอุดมการณ์ทางศาสนา ทั้งศาสนาพื้นบ้านคือความเชื่อเกี่ยวกับผีที่มีมาแต่เดิม และศาสนาพุทธกับพราหมณ์ที่เข้ามาภายหลัง
ความเป็น “หน่วยปกครองตนเอง” ของชุมชนอีสาน นั้น เรียกได้ว่าชุมชนอีสานมีระบบการปกครองตนเองแบบประชาธิปไตยมาแต่เดิม คือ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” อย่างแท้จริง เป็นหน่วยการปกครองตนเองที่เป็น “ประชาธิปไตยทางตรง”
ถ้าเราใช้หลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น “อำนาจนิติบัญญัติ”, “อำนาจบริหาร” และ “อำนาจตุลาการ” ตามหลักประชาธิปไตยสมัยใหม่มาพิจารณากลไกการปกครองระดับชุมชนของชุมชนอีสานในอดีต จะสามารถอธิบายได้ดังนี้
ชุมชนมีระบบนิติบัญญัติ คือ การสร้างกติกา ข้อตกลงของชุมชน สร้างจากประสบการณ์ของการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการต่อสู้กันภายในชุมชน หรือจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา กติกาและข้อตกลงของชุมชนอยู่บนฐานคุณค่าที่ยอมรับนับถือร่วมกัน และเกิดใหม่อยู่เรื่อย ๆ ตามความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงของฐานทรัพยากร และความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมความเชื่อ การสร้างกฎกติกาของชุมชนเป็นไปแบบเดียวกับการบัญญัติกฎหมายของรัฐสภาในระดับประเทศ
เพียงแต่กติกาข้อตกลงของชุมชนมักไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นกฎทาง “จารีตประเพณี” ซึ่งแฝงฝังอยู่ในความจำและความสำนึกร่วมของชาวชุมชน เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งหรือการละเมิดสิทธิต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็จะมีการนำเอาหลักกติกาข้อตกลงที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือจัดการโดยอัตโนมัติ
ด้านอำนาจบริหาร ความเป็นหน่วยสังคมขนาดเล็กของชุมชนทำให้สมาชิกล้วนรู้จักซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง รู้ว่าใครสมควรจะเป็น “ผู้นำ” ของพวกเขา และผู้นำด้านต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นด้วยการพิสูจน์ตัวเอง จนเป็นที่ยอมรับของสมาชิกอื่นอย่างแท้จริง ท่ามกลางประสบการณ์ร่วมอันยาวนานของคนทั้งชุมชน แต่ละชุมชนมีผู้นำด้านต่าง ๆ อยู่มากมาย ซึ่งจะได้รับความไว้วางใจและความคาดหวังจากสมาชิกชุมชนเมื่อมีความจำเป็น เช่นความเป็นผู้นำในการต่อสู้การคุกคามจากภายนอก เช่น โจรผู้ร้าย หรือรัฐภัย ผู้นำทางด้านพิธีกรรมความเชื่อ เช่น เฒ่าจ้ำ หมอสูตร หมอพราหมณ์ หมอพื้นบ้าน ช่างด้านต่าง ๆ ศิลปิน สัปเหร่อ ฯลฯ ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ของชุมชนจะมีองค์คณะร่วมกันตัดสินใจตามความเหมาะสมของแต่ละเรื่อง เช่น เรื่องการพัฒนาวัด การพัฒนาแหล่งน้ำ และเรื่องจัดการทรัพย์สินส่วนรวมของชุมชน การแก้ปัญหาการคุกคามจากภายนอก เหล่านี้อาจใช้องค์คณะหรือกลุ่มบุคคลร่วมตัดสินใจแตกต่างกันไป การตัดสินใจร่วมของชุมชนเกิดบนพื้นฐานการกระจายข้อมูลข่าวสารสู่สมาชิกอย่างทั่วถึง ชาวชุมชนมีรูปแบบของการ “โสเหล่” หรือการถกเถียง โต้เถียงแลกเปลี่ยนในวงพูดคุยวงเล็ก ๆ หรือกระทั่งการ “เว่าพื้น” หรือการซุบซิบนินทาซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นกระบวนการมีส่วนร่วม กระบวนการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและเข้มข้น การเมืองในชุมชนเป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วมและมีการตรวจสอบภายในทุกขั้นตอน
อำนาจตุลาการ ชุมชนมีระบบการแก้ไขความขัดแย้งภายในที่ไม่ใช่คดีผิดต่ออาญาแผ่นดิน มีระบบการพิจารณาคดี การตัดสินและการลงโทษ ซึ่งมีทั้งการตั้งวงเจรจาโดยมีผู้ใหญ่ของคู่กรณีและผู้เฒ่าผู้มีบารมีของชุมชนเป็นผู้พิจารณาคดี ทั้งการพิจารณาแบบเผชิญหน้า และการไต่สวนสาธารณะ การลงโทษมีทั้งการตักเตือน การชดใช้ชดเชย การปรับไหม และการลงโทษทางสังคม เช่น การนินทา การไม่ยอมรับ การลิดรอนสิทธิบางอย่างของผู้กระทำผิดโดยคนในชุมชน และการขอขมาลาโทษในกรณีการละเมิดต่อระบบความเชื่อของชุมชน
จึงกล่าวได้ว่า ชุมชนเป็น “สถาบัน” สถาบันหนึ่งที่มีกลไกภายในเป็นระบบหนึ่งของตนเอง มีพลังของความเป็นอิสระ และมีศักยภาพในการจัดการปกครองตนเองแบบแผนการปกครองตนเองของชุมชนอีสานถือเป็นภูมิปัญญาที่ชุมชนคิดค้นพัฒนาขึ้นมาเอง จากวิถีการดำเนินชีวิตร่วมกันของสมาชิกชุมชน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมยั่งยืนในการดำรงอยู่ร่วมกันของคนในชุมชน และเพื่อให้ชุมชนอยู่รอด มีความมั่นคงและมีศักดิ์ศรีในการอยู่ร่วมกับสังคมภายนอก อีกด้านหนึ่งกล่าวได้ว่า ได้รับมรดกทางวัฒนธรรมการปกครองจากราชอาณาจักรต่าง ๆ ที่มีอำนาจการปกครองมาก่อน ทั้งเขมร สยาม และที่มีอิทธิพลสำคัญสุดคือ แบบแผนการปกครองแบบอาญาสี่จากอาณาจักรลาวล้านช้าง
การปกครองตนเองของชุมชนอีสานมีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีระบบ “สิทธิชุมชน” ที่แข็งแรง มีระบบทรัพย์สินส่วนรวมเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่เริ่มตั้งหมู่บ้าน เช่น มีป่าดอนปู่ตา ป่าช้า ศาลากลางบ้าน ถนน บ่อน้ำ แหล่งน้ำส่วนรวม ที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ยุคใหม่ได้งบเอสเอ็มแอลมาก็ยังใช้ในการสร้างเต็นท์ โต๊ะ เก้าอี้ และทรัพย์สินส่วนรวมอื่น ๆ มีองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ เป็นฐานของระบบ คือมีองค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติหรือระบบนิเวศน์ท้องถิ่นอย่างลุ่มลึก มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ “คน” ตั้งแต่เกิดจนตาย รวมทั้งองค์ความรู้ด้านจิตวิญญาณ
จากที่กล่าวมานี้ เราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าคนอีสานมีจิตสาธารณะและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ทั้งยังมีศักยภาพในการปกครองตนเองอย่างสูง !! แต่คนอีสานกลับถูกตราหน้ามากที่สุดว่าไม่มีจิตสำนึกทางการเมือง ทำไม?
เราถูกทำให้หมดความมั่นใจในตนเอง โดยถูกกล่าวหาว่า โง่ ล้าหลัง ยากจน เจ็บป่วย และเอามาตรฐานทางการเมืองแบบเลือกตั้งตัวแทนมาเป็นตัวชี้วัดว่ามีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงมากที่สุด ความผิดดังกล่าวมิได้อยู่ที่คนอีสาน แต่อยู่ที่พวกเหลือบทางการเมืองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
และถ้าจะนับถอยหลังไปร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พบว่ารัฐสยามได้สถาปนาอำนาจการปกครองเหนือดินแดนอีสานได้อย่างเด็ดขาด โดยรวมศูนย์อำนาจการเมืองไว้ที่ส่วนกลางพร้อมกับออกกฎหมายให้อำนาจครอบครองทรัพยากรเป็นของรัฐทั้งหมด อีกด้านหนึ่งก็จัดการให้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลเพื่อตอบสนองการเติบโตของเศรษฐกิจทุนนิยม สิทธิใน “ทรัพย์สินร่วมของชุมชน” ไม่ได้รับการยอมรับทางกฎหมายและถูกละเมิด การแย่งชิงแรงงานในรูปของการเกณฑ์แรงงานไพร่และกวาดต้อนเชลยในอดีต เปลี่ยนมาเป็นการขูดรีดส่วนเกินจากสินค้าเกษตร และการจ้างแรงงานที่หนีภาคเกษตรมาสู่โรงงานด้วยราคาถูก ส่วยสาอากรและค่าหัว เปลี่ยนมาเป็นระบบเก็บภาษีอันแยบยลซับซ้อนเกินเข้าใจ
ด้วยความสุดทนต่อการถูกกดขี่ ชาวอีสานทั่วทั้งภาคเคยจัดตั้ง “ขบวนการผู้มีบุญ” ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม ระหว่างปี ๒๔๔๓-๒๔๔๕ แต่ก็ถูกปราบปรามลงอย่างราบคาบ เป็นบาดแผลที่หลายคนไม่อยากจดจำ แต่ควรสรุปเป็นบทเรียนสอนลูกสอนหลานกันให้ครบถ้วน อย่าลืมรากเหง้าประวัติตัวเอง ให้ลูกหลานหลงท่องแต่ประวัติศาสตร์ของคนชาติอื่น
การเกิดระบอบการเมืองประชาธิปไตยแบบตัวแทนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ ได้เปิดช่องทางให้ผู้แทนราษฎรจากภาคอีสานเข้าไปมีปากมีเสียง เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ชุมชนชาวอีสานได้บ้าง แต่ก็ถูกปราบปรามอย่างทารุณด้วยน้ำมือของรัฐสมัยใหม่ เช่น กรณีการฆ่านักการเมืองอีสานในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต่อมาระหว่างปี ๒๕๐๔–๒๕๒๖ ชาวอีสานส่วนหนึ่งเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อันเป็นผลของการถูกกดขี่จากอำนาจรัฐและการถูกขูดรีดจากนายทุน
ทศวรรษต่อมา ชุมชนอีสานภายใต้นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามค้า และการนำพาประเทศไทยไปสู่ความเป็นนิกส์ อีสานเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ชาวอีสานได้รวมตัวลุกขึ้นต่อสู้ด้วยสันติวิธี ใช้สิทธิประชาธิปไตยทางตรง เกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ เพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา เช่น การต่อสู้เพื่อสิทธิในการตั้งถิ่นฐานและที่ดินทำกินในกรณีโครงการ คจก.(๒๕๓๓–๒๕๓๕) ต่อสู้เพื่อสิทธิในอาชีพของเกษตรกรรายย่อยในกรณีคัดค้าน พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ (๒๕๓๔–๒๕๓๕) การคัดค้านการสร้างเขื่อนและการยืนยันสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ตามจารีตประเพณีในที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบ การคัดค้านการทำเหมืองแร่โปแตชโดยบริษัทต่างชาติ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ชาวอีสานในทุกพื้นที่ก็มีการจัดตั้งตัวเองเพื่อยืนยัน “สิทธิชุมชน” ของตน เช่น การจัดตั้งและการเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน การทำเกษตรผสมผสาน การจัดตั้งกลุ่มอาชีพ กลุ่มสวัสดิการต่าง ๆ การเคลื่อนไหวเฉพาะเรื่องเฉพาะพื้นที่เริ่มถักทอกันเป็น “เครือข่าย” และมีการหาพันธมิตรสนับสนุนอย่างกว้างขวางเพื่อต่อสู้ต่อรองกับรัฐและทุนชุมชนอีสานได้เรียนรู้สิทธิใหม่ ๆ ภายใต้ความสัมพันธ์กับรัฐ ทุน และกลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายในยุคการเมืองใหม่ในปัจจุบัน
ชาวอีสานมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาตนเองในทุกด้าน และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้กับความไม่เป็นธรรมทุกชนิด แต่เพราะถูกกระทำโดยการกำราบปราบปรามตลอดเวลา วันนี้ ชาวชุมชนอีสานจึงถูกสะกดด้วยความกลัว กลัวเจ้ากลัวนาย กลัวทำไม่สำเร็จ กลัวคนอื่นได้ดี ฯลฯ
ถึงเวลาที่จะต้องหันกลับมาทบทวนกันจริงจัง ใช้พลังศักยภาพที่เรามีอยู่ในการพัฒนาตนเอง ฟื้นระบบการปกครองตนเอง แสดงให้สังคมและรัฐเห็น “สิทธิชุมชน” ที่เรามีอยู่อย่างชอบธรรม
สร้างประชาธิปไตยแบบใหม่ ประชาธิปไตยชุมชน เราจะต้องทำอย่างไร?
๑. ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องเริ่มที่ชุมชน เป็น “ประชาธิปไตยชุมชน” รัฐต้องคืนอำนาจการปกครองตนเองให้แก่ชุมชน หลังจากที่รัฐได้ยึดสิทธิการปกครองตนเองนี้ไปยาวนาน การสร้างประชาธิปไตยของประเทศต้องเริ่มจากระดับหมู่บ้าน เช่นเดียวกับการสร้างเจดีย์ต้องสร้างจากฐาน มิใช่สร้างจากยอด
๒. อำนาจที่รัฐต้องคืนให้ชุมชน คืออำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อำนาจในการวางแผนพัฒนาตนเอง อำนาจในการจัดเก็บภาษีในรายการที่ชุมชนควรจะทำเอง อำนาจในการจัดการศึกษา อำนาจในการจัดสรรงบประมาณ อำนาจในการบริหารชุมชนควรยุบเลิกหน่วยงานรัฐที่ไม่จำเป็น
๓. สิ่งที่ชุมชนทำเองได้เลยและต้องเริ่มทำทันที! คือการรวมกลุ่มแก้ปัญหา เช่น กลุ่มออมทรัพย์ ธนาคารชุมชน ร้านค้า สหกรณ์ ป่าชุมชน แหล่งน้ำชุมชน เกษตรอินทรีย์ วิสาหกิจชุมชนที่ไม่ถูกครอบงำโดยรัฐ การฟื้นฟูจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม แล้วค่อย ๆ ขยายผลไปใช้สิทธิ์ยกระดับให้สูงขึ้น โดยสร้างการยอมรับและความร่วมมือ การมีส่วนร่วมจากภายนอก อีกด้านหนึ่ง ต้องมีการเฝ้าระวังสิ่งคุกคามจากภายนอก ไม่ให้ทำลายศีลธรรมที่ดีงามและแย่งชิงทรัพยากรของชุมชน และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ปกป้องฐานทรัพยากรและระบบศีลธรรมของชุมชนท้องถิ่นที่กำลังถูกแย่งชิงคุกคาม
๔. สำหรับประชาธิปไตยตัวแทน เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อการจัดการระดับประเทศ เราจะไปเลือกตั้ง แต่ต้องเรียกร้องต่อสู้ให้มีอำนาจและผลประโยชน์อยู่ที่อำนาจรัฐส่วนกลางน้อยที่สุด มีระบบกฎหมายที่แข็งแรง และมีระบบการตรวจสอบที่ดีที่สุด
นี่คือแนวทางใหม่ มันจะเป็นจริงได้เมื่อเราพร้อมจะเดินออกมาจากกรอบความคิดที่กักขังเราอยู่ และลงมือสร้างด้วยมือเรา ไม่มีสิทธิใด ๆ ในโลกนี้ที่ได้มาด้วยการหยิบยื่นให้.
*****
จากหนังสือ “แก่นชีวิต ความคิดฝัน สนั่น ชูสกุล” สำนักพิมพ์ทางอีศาน
**
ประวัติย่อ สนั่น ชูสกุล
การสมรส
แต่งงานกับ นางวิจิตรา ชูสกุล มีบุตร ๒ คน คือนายนาคร ชูสกุล และ นางสาววรรณลีลา ชูสกุล อาศัยอยู่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเลขที่ ๑๐๕/๖ หมู่บ้านธารธนา ถนนโพธิ์ร้าง อ.เมือง จ.สุรินทร์
การงาน
– ปี ๒๕๒๒ – ๒๕๒๓ ประธานชุมนุมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
– ปี ๒๕๒๔ – ๒๕๒๕ : กองบรรณาธิการฝ่ายสังคมศึกษาสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช (กทม.)
– ปี ๒๕๒๕ – ๒๕๒๗: งานพัฒนาชุมชนโครงการพัฒนาหมู่บ้านชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สุรินทร์
– ปี ๒๕๒๘ – ๒๕๓๔ : ผู้ประสานงานโครงการเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชน มูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม (อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์)
– ปี ๒๕๓๕ – ๒๕๓๘ : ฝ่ายข้อมูล คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน)
– ปี ๒๕๓๒ – ๒๕๔๒ : บรรณาธิการวารสารดอกติ้วป่า
– ปี ๒๕๓๙ – ปัจจุบัน : ผู้อำนวยการโครงการทามมูล
– ปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๙ : หัวหน้าโครงการวิจัยสิทธิชุมชนศึกษาภาคอีสาน
– ปี ๒๕๔๔ – ปัจจุบัน : บรรณาธิการโครงการหนังสือดอกติ้วป่า, บรรณาธิการ www.esaanvoice.net
– เป็นอาจารย์พิเศษโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต ม.ราชภัฏสุรินทร์
– เป็นคอลัมนิสต์ วารสารสุรินทร์สโมสร, นิตยสาร “ทางอีศาน”
– ทำสวน ทำนา ปลูกป่า พื้นที่ ๑๐ ไร่ ที่บ้านแจรน ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์
ผลงานเขียน
๑. งานวิจัย
– ภาวะหนี้สินชุมชนอีสานใต้ (๒๕๓๑) สนับสนุนโดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนอีสานใต้
– กรณีศึกษาการปลูกมะม่วงหิมพานต์ในภาคอีสาน ตามโครงการสี่ประสาน (๒๕๓๕)
– ระบบนิเวศน์และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ายุ่งป่าทาม-กรณีป่าทามราศีไศล จ.ศรีสะเกษ (๒๕๓๘) สนับสนุนโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
– วิจัยภูมิปัญญาการใช้พืชสมุนไพรในป่านุ่งป่าทาม (๒๕๔๕) สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
– งานวิจัยสิทธิชุมชนลุ่มน้ำมูล (๒๕๕๐) สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ฯลฯ
๒. กรณีศึกษาและงานค้นคว้าทางวิชาการ
– ยูคาลิปตัสบนแผ่นดินอีสาน (๒๕๓๙) ประกอบการประชุมวิชาการและเผยแพร่โดยเครือข่ายป่าที่ดินอีสาน
– เมื่อลุ่มน้ำมูลถูกพัฒนา (๒๕๔๗) เอกสารการประชุมเวทีสิ่งแวดล้อมระดับชาติ ปี ๒๕๔๙ โดยเครือข่ายสิ่งแวดล้อมไทย
– เขื่อนราษีไศล : รายจ่ายแสนแพงเพื่อความเป็นข่าว (๒๕๔๕) ประกอบการสัมมนาทางวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ และจัดพิมพ์รวมเล่มในหนังสือ “ข่าวที่ไม่เป็นข่าว”
– จากเศรษฐกิจพอเพียงสู่การค้นหาสังคมทางเลือก (๒๕๕๐) นำเสนอในเวทีสัมมนาวิชาการประจำปี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ฯลฯ
๓. หนังสือที่เขียนและเป็นบรรณาธิการ
– หนังสือ “ป่าทาม ป่าไทย” (กองทุนสิ่งแวดล้อม, ๒๕๔๔)
– บทเรียนรู้นโยบายสาธารณะ พื้นที่ชุ่มน้ำ (สสส., ๒๕๔๙)
– ป่าชุมชนอีสาน (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๒๕๔๐)
– ประสบการณ์วนเกษตร (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๒๕๔๐)
– คู่มือการจัดการป่าทามโดยองค์กรชุมชน (โครงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนภาคอีสาน, ๒๕๔๖)
– ป่าทาม พื้นที่ชุ่มน้ำโลก (โครงการทามมูล, ๒๕๕๐)
ฯลฯ
๔. บทความ – สารคดี
– บทความ บทรายงาน สารคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม งานพัฒนาชุมชน เผยแพร่ในนิตยสารวารสารและเวบไซต์ต่าง ๆ ประมาณ ๑๐๐ ชิ้น
๕. นวนิยายที่จัดพิมพ์แล้ว
– “ผู้คุ้มครอง” (สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๑)
– “อีกโค้งหนึ่งก็ถึงแล้ว” (สำนักพิมพ์ดอกติ้วป่า, ๒๕๔๕)
๖. หนังสือรวมเรื่องสั้น
– “ช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมือง” (สำนักพิมพ์อิงฟ้า, ๒๕๔๓)ได้รับรางวัล
ากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ในงนสัปดาห์หนังสือแ
– “บริษัทไทยไม่จำกัด” (สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๐) เข้ารอบสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน (S.E.A Write Award) ปี ๒๕๕๑
– “พันธุ์อุดมการณ์” (สำนักพิมพ์อินทนิล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, พฤษภาคม ๒๕๕๗)
๗. รางวัลวรรณกรรมที่ได้รับ
– รางวัลช่อการะเกด (๒๕๓๖) จากเรื่องสั้น – ช้างเหยียบนาพระยาเหยียบเมือง
– รางวัลชมเชยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย จากเรื่องสั้น – หิมพาล (๒๕๓๗)
– รางวัลชมเชยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย จากเรื่องสั้น – ถนนไปชายเล (๒๕๓๘)
ฯลฯ
ประกาศเกียรติคุณที่ได้รับ
– งานวิจัยสิทธิชุมชนศึกษา ได้รับรางวัลเป็นงานวิจัยดีเด่นประจำปี ๒๕๕๐ ของ สกว.
– รางวัลวรรณกรรม ๖ รางวัล
– ศิษย์เก่าดีเด่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๑ใน ๗๗ คนในวาระ ๗๗ ปีมหาวิทยาลัยฯ (๒๕๕๔)
– ศิษย์เก่าดีเด่นคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี ๒๕๕๖
– รางวัล สันติประชาธรรม (พิเศษ) สำหรับบุคคลที่อุทิศตัวเพื่อสังคมตามแนวทางอาจารย์ป่วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี ๒๕๕๘ เนื่องในโอกาส ๑๐๐ ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ป่วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเป็นสมาชิกองค์กรและบทบาททางสังคม
– เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน (๒๕๓๘-ปัจจุบัน)
– ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ วุฒิสภา
– อนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อมและน้ำ และคณะทำงานเรื่องทรัพยากรน้ำ สำนักนายกรัฐมนตรี
– คณะอนุกรรมการด้านการจัดการที่ดิน น้ำ ทรัพยากรฯในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย
– กรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมเขื่อนหัวนา, เขื่อนราษีไศล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ฯลฯ
วาระสุดท้าย
สนั่น ชูสกุล เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๙ ด้วยอาการปวดท้อง อ่อนเพลีย และมีไข้สูง คุณหมอได้ตัดชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอเพื่อส่งไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งสนั่นได้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์จนถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ผลการพิสูจน์ชิ้นเนื้อไม่พบว่าเป็นอะไร คุณหมอได้แน่ะนำว่าอาจต้องพิสูจน์ชิ้นเนื้ออีกรอบ ครอบครัวจึงตัดสินใจพาสนั่นไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช กทม. ซึ่งได้ตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์อีกรอบ พร้อมทั้งการเจาะไขสันหลัง จึงพบว่าสนั่นเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง ครอบครัวตัดสินใจพาสนั่นกลับบ้าน มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙ และสนั่นได้สิ้นใจในวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๙ นับเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา ๑ เดือน รวมสิริอายุได้ ๕๖ ปี ๔ เดือน.