Journey of Life ชีวิตใหม่
มนุษย์ออกเดินทางตั้งแต่เกิด เมื่อลืมตาดูโลกคือ ประสบการณ์แรกที่ได้พบโลกใบใหม่ เมื่อเติบใหญ่ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัย ตามเหตุการณ์ที่ผันแปรไป
#บทเรียนชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๑๔ ท่าแร่
พ่อคิดว่า งานวัฒนธรรมควรให้ผลทางจิตใจแก่ชุมชน แก่คนที่ไปเยือนมากกว่าเพื่อแสดงความอลังการของงานที่อ้างงว่าเป็นศิลปวัฒนธรรม ก็ดูแต่การจัดการแห่ดาวก็ให้คนเดินตามรถที่ประดับประดาด้วยดาวและดอกไม้ ปีหนึ่งเห็นมีหญิงสาวแต่งตัวสวยงามนั่งมาคนเดียว คล้ายกับขบวนแห่ในงานบุพชาติ งานสงกรานต์
#บทเรียนชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๑๓ ท่าแร่
ภาษา คำพูด มีอำนาจ กำหนดภาพลักษณ์ คุณค่า ความหมาย เมื่อได้ยินคำว่า “ท่าแร่” คนมักคิดถึงเนื้อสุนัข เหมือนคนเยอรมันสมัยก่อนที่พูดคำว่า “สาวไทย” (Thai Maedchen) ก็คิดถึงหญิงบริการ เพราะภาพลักษณ์เป็นเช่นนั้น หรือวันนี้คำว่า “หมอนวด” คนยังคิดถึงหญิงบริการในที่ “อาบ อบ นวด” แม้ว่ามีคนนวดแผนโบราณที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั่วไปในสังคม
#บันทึกชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๑๒ ท่าแร่
ฉบับที่แล้วเล่าไปไกลเพราะล้วนเกี่ยวพันกันไปหมด คณะมิซซังต่างประเทศกรุงปารีสประจำอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและภาคกลาง เมื่อปี 1881 ได้เดินทางไปอีสาน ขี่ม้าไปถึงโคราช แล้วนั่งเรือล่องแม่น้ำมูลไปถึงอุบลฯ ปี 1883 ล่องแม่น้ำโขงขึ้นไปถึงนครพนม แล้วต่อมาไปที่สกลนคร เพราะได้ข่าวว่ามีคนเวียดนามที่เป็นคริสต์จำนวนหนึ่งขอให้ไปตั้งวัดที่นั่น
#บทเรียนชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๑๑ ญาติพี่น้อง
จดหมายฉบับที่แล้ว พ่อพูดถึงรากเหง้ากับคีรีวง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกันมาก อยากเล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเข้าใจว่า ทำไมพ่อจึงอยากเขียนถึงท่าแร่ บ้านเกิดของพ่อ
#บทเรียนชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๑๐ ญาติพี่น้อง
พูดถึงญาติทางปู่จำนงค์ไปแล้ว ทางด้านของย่าคำปุนนั้น ญาติพี่น้องของทวดหนูนาที่สกลนครมีมากก็จริง แต่เราก็ไม่ได้สนิทกับใคร เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือติดต่อกันมาตั้งแต่ต้น เคยมี พล.ต.ต.ชาติชาย อุปพงษ์เท่านั้น เพราะนามสกุลอุปพงษ์กับศรีวรกุลเป็นลูกหลานเจ้าเมืองสกลนครเหมือนกัน
#บทเรียนชีวิต (บทที่ ๒) ฉบับที่ ๙ ญาติพี่น้อง
ปู่มาเมืองไทยอายุ 8 ขวบ ได้นามสกุล “พงค์พิศ” เมื่อไร อย่างไร พ่อก็ลืมถามปู่ รู้แต่ว่าท่านเป็นต้นตระกูล น้องของปู่ทุกคนพร้อมลูกหลานจึงใช้นามสกุลเดียวกันนี้ เขียนต่างกันบ้าง ไม่เป็นไร ขอให้ใช้ตามที่เขียนในบัตรประชาชนของตนก็แล้วกัน ดั้งเดิมจริงๆ พงค์ ใช้ ค์ ไม่ใช่ ศ์ หรือ ษ์ ไม่ทราบแปลว่าอะไร
#บันทึกชีวิต (๘) “แม่”
พ่อขอเงินย่าหนึ่งสลึงไปซื้อดินสอ ย่าไม่ให้ แต่เมื่อขอไปให้คนขอทาน โดยเฉพาะวนิพกพเนจร ที่มาเป่าแคน เล่นพิณ เล่นกะจับปี่หน้าบ้าน ย่าจะให้เสมอ แต่พ่อไม่ให้เขาทันที จะเดินตามเขาไป ฟังเขาเล่นหน้าบ้านโน้นบ้านนี้จนสุดหมู่บ้าน จึงให้ตังค์เขา แล้วเดินกลับบ้าน เบิกบานอิ่มใจในเสียงดนตรี
#บันทึกชีวิต (๗) “แม่”
ปู่ย่ามีลูก 14 คน เสียชีวิตตอนคลอดและตอนยังเด็ก 3 คน ย่าเลี้ยงลูกจนโต 11 คน บอกว่ารักลูกทุกคนเท่ากัน และย่าก็พยายามแสดงออกเช่นนั้น แม้เป็นธรรมดามนุษย์ ที่ในใจท่านคงรักหรือเป็นห่วงบางคนบางกว่าคนอื่น
บทเรียนชีวิต (๖)
คนสมัยก่อนมีลูกมากเพื่อจะได้มีแรงงานในการทำมาหากิน โดยเฉพาะการทำเกษตร เป็นสังคมยังชีพ ที่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เงิน แต่เป็นข้าว ใครมีข้าวก็มีความมั่นคง ต่อมาเป็นยุคอุตสาหกรรม เงินสำคัญที่สุด อยากได้ข้าวปลาอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ก็ไปซื้อจากตลาด ไม่ต้องออกแรงทำเองก็ได้ ทำให้ผู้คนหาเงินกันเอาเป็นเอาตาย หลายคนก็ตายตามความตั้งใจ
บทเรียนชีวิต (๕)
หลังจากที่ปู่จากไป พิธีฌาปนกิจทางศาสนาเสร็จสิ้น ยังมีการสวดภาวนาที่บ้านตอนค่ำอีกสามวัน แต่ก็มีเพียงญาติพี่น้องลูกหลานและคนที่สนิทกันเท่านั้น
#ชะตากรรมกับเจตจำนงเสรี ฉบับที่ ๔
ปู่กลัวย่าไหม คงไม่มั้ง แต่ก็เกรงและรักย่าแน่ ตอนที่ย่าป่วยไปโรงพยาบาลที่สกลนคร ทุกครั้งปู่จะไปเยี่ยม ตอนเช้าจะให้จ๊อบ ลูกนายโก้ ซึ่งเป็นลูกลุงโกก ลูกชายคนโตของปู่ย่า จ๊อบเป็นเหลนคนโปรด ทวดจะให้ไปส่งข้าวต้มให้ย่าทุกเช้า ให้เงินค่ารถโดยสาร ไปถึงสกลนครก็นั่งรถเมล์ไปโรงพยาบาล ทวดจะให้รางวัลเหลนทุกครั้ง
#ชะตากรรมกับเจตจำนงเสรี ฉบับที่ ๓
ทุกวันปีใหม่ ลูกหลานเหลนจะพากันไปกราบขอพรปู่กับย่า ตอนนั้นท่านมีลูก 14 คน หลาน 39 เหลน 40 กว่า ท่านเป็นพี่คนโต มีน้องชายน้องสาวอีก 6 คน บรรดาหลาน ๆ ญาติพี่น้องของปู่และย่ามากันหมด เต็มบ้าน
#ชะตากรรมกับเจตจำนงเสรี ฉบับที่ ๒
ปู่เดินทางมาจากเวียดนามตอนกลาง จากหมู่บ้านไตรเล ตำบลกันล็อค จังหวัดฮาติ่น ไม่ไกลจากวินห์ บ้านเกิดของโฮ จี มินท์ ท่านเล่าว่า มาตอนอายุ 8 ขวบกับแม่และน้อง ๆ เดินเท้ามาระยะทาง 200 กิโลเมตร ใช้เวลากว่าสามสัปดาห์ ถึงท่าแขก แล้วข้ามมานครพนม ที่ทวด (พ่อของปู่) รออยู่กับญาติพี่น้องคนอื่นที่ล่วงหน้ามาก่อน
#บันทึกชะตากรรมกับเจตจำนงเสรี #บทเรียนชีวิต (๑)
ภาพที่จำติดตาได้มากที่สุดภาพหนึ่ง คือ พ่อของพ่อนั่งที่ม้าหน้าบ้าน มองไปข้างหน้าแบบไม่มีจุดหมาย ใจกำลังครุ่นคิด ประสาเด็กไม่ได้เข้าใจอะไรมาก ดูหน้าของพ่อแล้ว ท่านคงไม่ได้กำลังมีความสุขกับการฝันถึงอะไรบางอย่าง หากแต่กำลังเป็นทุกข์