ชีวิตใหม่ (จบบริบูรณ์) บทที่ ๑๕ พบครู

ชีวิตใหม่ (จบบริบูรณ์) บทที่ ๑๕ พบครู

หลังจากทำใจยอมรับความจริง ยอมรับสภาพความเป็นอยู่ทีเปลี่ยนแปลงไปอย่างสินเชิง ภาพในอดีตทีเคยเป็นนายผู้หญิงของบ้านสังการทุกอย่าง ให้แม่ครัวดูแลเรืองอาหารการกิน แม่บ้านทำความสะอาดปัดกวาด เช็ดถู คนสวนดูแลสวนในบ้าน อยากไปไหนทำอะไรมีคนรถพาไปทุกทีวันนีไม่ใช่อย่างทีเคยมีเคยเป็น ฉันบอกตัวเองว่าตังแต่นีไปฉันจะทำทุกหน้าทีเต็มกําลังความสามารถ เลิกยึดติดกับอดีต อยู่กับความจริงตรงหน้า

            ทุกเช้า ฉันจะหิ้วตะกร้าไปตลาดซื้อกับข้าวมาเตรียมหุงหาอาหาร สาย ๆ เอาผ้าลงเครื่อง ตากผ้า ปัดกวาด เช็ดถู ทำความสะอาดบ้าน บ่ายเอนหลังพักกายนิดหน่อย อ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตนเอง เย็นหุงหาอาหารเตรียมไว้ให้สมาชิกในบ้าน หลังจากนั้นเก็บถ้วยชามล้างทำความสะอาด เมื่อเก็บบ้านเรียบร้อยจึงจะเข้านอน

            หลายสิบปีฉันไม่เคยทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะมีผู้คนรายล้อมคอยอํานวยความสะดวกให้ตลอดมา สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่ แต่ที่นี่เดี๋ยวนี้ คือ บ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านในตำแหน่ง ฉันต้องยอมรับความจริง ว่า นี่คือบทบาทของฉันในวันนี้ ฉันตั้งคําถามอีกครั้ง ฉันต้องการอะไรในชีวิต ความสุขของฉันอยู่ที่ไหน สิ่งที่ทำทุกวันนี้ใช่ความสุขที่แท้หรือไม่

            วันหนึ่ง ฉันอ่านหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ” ของ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ได้คําตอบบางอย่าง เป็นหนทางที่ทำให้พบความสว่างในใจ พบการดำเนินชีวิตที่ฉันเฝ้าเพียรถาม ความสุขของฉันที่ไหน ฉันเสาะแสวงหาหนังสืออาจารย์มาอ่านอีกหลายเล่ม เช่น เราจะเดินไปไหนกัน, ภาวนาเริ่มต้น ณ กม.ที่ ๐, อินเดียจาริกด้านใน, พรอันประเสริฐ และเพื่อนแท้

            ฉันติดตามเรื่องราวท่านผ่านสื่อต่าง ๆ จนกระทั่งฉันมีโอกาสเดินทางไปอินเดีย และร่วมทำงานกับอาจารย์อย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดการเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างสุข สงบ ร่มเย็น

            ฉันค้นพบโลกใบใหม่ เป็นการเรียนรู้โลกภายนอกผ่านการเดินทาง แล้วกลับมาสํารวจโลกภายในผ่านใจตัวเอง ฉันนําเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาร้อยเรียง นํามาใคร่ครวญ เรียนรู้ ถอดบทเรียน เกิดการตระหนักรู้ความเป็นไปของสรรพสิ่ง เห็นความจริงของชีวิต เกิดการยอมรับ เข้าใจ ทำให้พบว่าความสุขมิได้อยู่ที่ใดแต่อยู่ในใจเรานี่เอง

            หลังจากอ่านหนังสือ ศึกษา ทดลองการใช้ชีวิตอย่างเช่นอาจารย์ประมวล ทำให้ฉันได้ต้นแบบในการใช้ชีวิตที่มีคุณค่ามีความหมาย ท่านคือผู้สร้างแรงบันดาลใจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจ

            อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  อาจารย์เล่าว่า ตนมีความรู้มากมาย แต่ยังมีคําถามในใจ ทําไมชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ ความหวั่นไหว ความหวาดกลัว ความคับแคบในจิตใจ จึงตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือเพื่อการเรียนรู้ บ่มเพาะ ที่จะนําไปสู่ความรู้ที่แท้จริง

            เมื่ออาจารย์อายุ ๕๐ ปี ตัดสินใจลาออกจากราชการเดินเท้าจากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี บ้านเกิด ใช้เวลา ๖๖ วัน ไม่พกเงินติดตัว ไม่ร้องขออาหารหรือความช่วยเหลือจากใคร เป็นการเดินทางเพื่อสํารวจโลกภายใน พิจารณาสิ่งที่มากระทบใจ

            ขณะเดินอาจารย์ฝึกรู้ตัวทุกย่างก้าว เดินอย่างมีความสุข ระหว่างทางพบเรื่องราวอันอบอุ่น มิตรภาพที่เกิดขึ้น ประทับใจ งดงาม นําไปสู่การค้นพบความหมายอันลุ่มลึกของการมีชีวิตอยู่

            เมื่อฉันอ่านหนังสือจบ เกิดแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิด ฉันบอกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไป จะเลิกคิดถึงชีวิตหรูหราที่ผ่านมา เลิกยึดติดกับสิ่งที่เป็นอดีต ฉันจะไม่ยอมให้ภาพนั้นมาทำให้จิตใจหวั่นไหว ให้ทุกอย่างเป็นดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านเลยไป ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติที่ควรเป็น

            ฉันเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการใช้รถเป็นการเดินเท้า จากความร้อนรนในใจ เป็นการใช้ชีวิตค่อยเป็นค่อยไป ใคร่ครวญพิจารณาสิ่งรอบตัวอย่างช้า ๆ

            เช้าวันหนึ่ง ฉันเดินจากบ้านไปออกกําลังกายที่สวนสาธารณะ ขณะเดินได้สังเกตใคร่ครวญ เห็นใบหน้าและอากัปกิริยาที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายของผู้คน

            คนกวาดถนนทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น เด็กนักเรียนยืนรอรถเมล์ใจจดจ่อ คนเก็บขยะคุ้ยเขี่ยสิ่งของในถังด้วยความหวัง แม่ค้าจัดเตรียมร้านขายของด้วยความขมีขมัน เห็นวิถีชีวิตของผู้คนอย่างละเอียด

            เดินเพลิน ๆ พลันสายตาสะดุดเห็นชายจรจัด เนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ารุงรัง นอนขดตัวอยู่ริมถนน หยุดยืนดูด้วยความสงสาร คงไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ท่าทางน่าจะหิว จะมีอะไรกินไหมหนอ ขณะยืนมอง จู่ ๆ ชายคนนั้นสะดุ้งตื่น ถามขึ้นด้วยความงัวเงีย

            “มีอะไรไหมครับ”

            เสียงนุ่มทุ้มกับแววตาอันอ่อนโยนขัดกับบุคลิกภายนอกที่ดูไม่น่าไว้ใจ ช่างขัดแย้งกับภาพภายนอกที่เห็น ฉันตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ ถามว่า

            “หิวไหม”

            เขามองหน้านิ่งเหมือนชั่งใจว่าจะพูดอย่างไร เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

            “หิวครับ ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”

            ฉันรีบคว้ากล้วยในกระเป๋า หยิบน้ำดื่มที่ติดตัวมาส่งให้ พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง ชายจรจัดแสดงท่าทีลังเล ฉันยื่นของให้แล้วบอกว่า

            “กินให้อร่อยนะ”

            เขาสบตาฉันและกล่าวขอบคุณอย่างแผ่วเบา เห็นหยาดน้ำตาและรอยยิ้มอันอ่อนโยนจากชายผู้นั้น ฉันกล่าวลาแล้วเดินจากมาด้วยความสะเทือนใจ ฉันตัดสินเขาจากภาพภายนอกที่มองเห็น เพียงเครื่องแต่งกายที่ห่อหุ้มร่างกาย สกปรก มอมแมม ทำให้เกิดความกลัวได้เพียงนี้

            หลังจากนั้น ฉันจะพกอาหาร น้ำดื่ม ใส่เป้ติดตัว เมื่อเจอใครที่พอจะช่วยเหลือเกื้อกูลได้ จะหยิบยื่นแบ่งปันอาหาร น้ำดื่ม และเงินจำนวนหนึ่งให้คนเหล่านั้นเสมอ

            ต่อมา ฉันมีโอกาสเดินทางไปอินเดียกับอาจารย์ประมวล ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ได้เห็น ได้สัมผัสวิถีชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา ตลอดการเดินทางผู้คนเข้ามาพูดคุยกับอาจารย์เป็นระยะ ๆ ท่านบอกกับฉันว่า ให้รู้สึกดีกับทุกสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ประหนึ่งว่าสิ่งนั้นปรากฏขึ้นมาเพื่อเราเท่านั้น

            หลังจากนั้น ฉันมีโอกาสเดินทางไปทำงานกับอาจารย์อีกครั้งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ จ.อุบลราธานีบ้านเกิดฉัน เมื่อนัดหมายเวลา สถานที่ จุดนัดพบเรียบร้อย เมื่อถึงวันงานอาจารย์เดินทางมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ไร้ความวิตก กังวล พร้อมเป้หนึ่งใบ ไร้อุปกรณ์สื่อสารใด ๆ

            เมื่อเดินทางถึง อาจารย์ขอให้ผู้จัดเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่าง แค่บอกว่าให้ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ท่านไว้เนื้อเชื่อใจในทุกสิ่ง ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ

            วันนั้น อาจารย์บรรยายเรื่อง “เติมพลังใจในการทำงาน” ให้แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรโรงพยาบาล กล่าวถึง ความรัก ความเมตตาระหว่างเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อกัน ระหว่างนั้นมีการเดินภาวนา นําพาผู้คนใคร่ครวญถึงชีวิตที่ผ่านมา พิจารณาทุกย่างก้าวอย่างมีคุณค่ามีความหมาย ท่านเล่าถึง มิตรภาพ ความงดงามที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินเท้าจากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย

            ทุกถ้อยคํากลั่นจากหัวใจ เป็นประสบการณ์จากภายใน ผู้ฟังรับรู้ สัมผัสได้ถึงความรัก ความปรารถนาดีที่เกิดขึ้น เป็นความซาบซึ้งใจในวงเสวนา ภาพที่ฉันเห็นคือ การจากลาด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นที่อบอวลด้วยรอยยิ้มและน้ำตา

            หลังเสร็จสิ้นภารกิจการบรรยาย ฉันชวนอาจารย์ประมวลไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน เมื่ออาจารย์เจอแม่ ท่านเดินตรงไปหาและก้มกราบที่ตักด้วยความเคารพ อ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นภาพที่ตราตรึงใจและงดงามจนฉันน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ

            การปฏิบัติตนของอาจารย์ประมวลทำให้ฉันสัมผัสความรัก ความเมตตาที่ท่านมีต่อผู้คนอย่างเต็มเปี่ยม ฉันค้นพบว่าท่านให้ความสำคัญกับทุกคนตรงหน้าเท่าเทียมกัน

            สิ่งนี้ทำให้เกิดกระแสความชุ่มฉ่ำเย็นไหลเวียนทั่วร่าง กระทั่งฉันค้นพบหนทางการปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นด้วยความรัก ความเมตตาที่เกิดขึ้นภายใน

            จะมีคนสักกี่คนที่เราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจ ได้รับพลังที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงภายในเหมือนสายน้ำใสไหลเย็นหลั่งรินรดใจให้ชุ่มฉ่ำ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ คือ ผู้ชายธรรมดาที่ค้นพบความจริงของชีวิต อ่อนน้อม ถ่อมตน เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และเผื่อแผ่แบ่งปันให้ผู้คน ท่านให้ความสำคัญกับทุกสิ่งตรงหน้าประดุจว่า สิ่ง ๆ นั้นเกิดมาเพื่อเรา

            การที่ฉันได้พบผู้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ที่อยากส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่ผู้คนต่อไป ก่อนจากกันฉันกอดลาอาจารย์ด้วยความเคารพ รัก และศรัทธา อ้อมกอดอันอบอุ่น ความเมตตา แผ่ซ่านทุกอณู สะท้านสะเทือนในใจ

            ฉันขอเดินตามรอยอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ด้วยการใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ หากพบสิ่งใดที่ขัดเคืองใจก็วางลงได้โดยง่าย ไม่แบก ไม่หนัก เหมือนที่ผ่านมา มีความสุข สงบ ร่มเย็นจากภายใน

            ฉันได้พบครูผู้ให้แสงสว่างนําทางชีวิต ครูผู้เป็นต้นแบบที่ทำให้รู้ว่าจะเดินไปที่ใดทิศทางไหน ดำรงชีวิตอย่างไรให้มีคุณค่ามีความหมายเกิดศานติในใจ ฉันค้นพบว่า

          “ ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่ใกล้ ๆ ในใจเรานี่เอง ”

บทส่งท้าย

          ข้อเขียนชุดนี้คือบันทึกการเดินทาง Journey of Life ของฉันที่ร้อยเรียงเรื่องราวตั้งแต่วัยเยาว์ ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในนําไปสู่ชีวิตใหม่ที่ค้นพบความสุข สงบ ร่มเย็น

            ฉันถอดบทเรียนตัวเองตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการผจญภัยท่องไปในโลกกว้าง เดินทางไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ฝึกฝนตนจนค้นพบสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายในชีวิต

            การเดินทางทำให้ฉันเห็นโลกกว้าง เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความเป็นไปของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งล้วนมีที่มาที่ไป สุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง การพบ การจาก การพลัดพราก ล้วนเป็นของคู่กัน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สืบค้นความเป็นไปของชีวิต ทำให้ลดการยึดมั่น ถือมั่นในความเป็นตัวตน ปล่อยวางได้มากขึ้น

            จากการเดินทางภายนอกนำสู่การเรียนรู้โลกภายใน ฉันได้คําตอบว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตคือสิ่งใด ชีวิตที่เหลืออยู่ขอทำตนให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ขอใช้แรงกาย แรงใจ สติปัญญา ทำหน้าที่ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งให้ดีที่สุด  หวังว่า ผู้อ่านทุกบทจะได้ข้อคิด สะกิดใจ หันกลับไปทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ดูว่า ยังเหลือสิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ

            ชีวิตบนโลกนี้น้อยนัก เราต่างเดินทางมาไกลแสนไกล ไม่รู้จะเดินไปอีกนานแค่ไหน ต้องเผชิญอะไรอีกมากมาย หากเราเตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับสิ่งที่เกิด ฝึกฝนกาย ใจ ถามตัวเองว่าเราอยากฝากสิ่งใดไว้ให้โลกใบนี้ เมื่อได้คําตอบเราจะค้นพบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

            ขอความสุข สงบ จงบังเกิดในใจ และขอให้ผู้อ่านค้นพบสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเองด้วยเทอญ

Related Posts

เรียนผู้อ่าน นิตยสาร “ทางอีศาน” ทุกท่าน
ชาติพันธุ์วรรณนา
นิตยสารทางอีศาน ฉบับที่ 130
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com