มงคลชีวิตที่หนองประจักษ์
ผมชอบเกาะกลางบึงนํ้าที่ออกแบบให้มีสะพานเชื่อมระหว่างเกาะ มีสวนดอกไม้ สวนสุขภาพสนามเด็กเล่น แต่ที่สุดยอดคือเส้นทางเดิน วิ่ง และขี่จักรยานรอบบึงนํ้า ได้มาตรฐานยุโรปราวกับสวนสาธารณะริมทะเลสาบเจนีวาในสวิตเซอร์แลนด์ จนรู้สึกอิจฉาชาวเมืองอุดรธานี นึกถึง “พุทธวจนะ” บทที่ว่า...การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เป็น ๑ ในมงคล ๑๐๘ ประการ
การปั้นพระปางปฐมเทศนา
“คิดจากชิ้นเล็กก่อน คือเราตัวใหญ่ มุมมองสามารถมองแบบเครื่องบินที่บินวนเห็นรอบด้าน แม้ขนาดยังทำรายละเอียดได้ไม่เต็มที่ แต่จะเข้าใจเรื่องสัดส่วนเบื้องต้นได้ แล้วพอขยายขึ้น
มาอีกระดับ เป็นเรื่องความแม่นยำแล้ว หน้าอก คอ สะโพก ขา เข่า สามารถปรับได้ชัด ดูสัดส่วนเพื่อป้องกันพลาด เพราะถ้าขยายใหญ่เลย ผิดพลาดจะแก้ยากมาก”
เครื่องเบญจรงค์ ๒
ศิลปะเครื่องเคลือบของจีนมีพัฒนาการต่อเนื่อง และเป็นสินค้าออกที่สำคัญของจีนตราบจนถึงยุคล่าอาณานิคม ในสมัยราชวงศ์หมิงเครื่องเคลือบของจีนพัฒนาการจนใช้สีได้ห้าสีและมากกว่า เรียกว่า “อู๋ไฉ่” (五彩) หมายถึงเครื่องกระเบื้องเคลือบห้าสี ได้แก่ สีแดง เหลือง เขียวอ่อน เขียวแก่ และสีม่วงอมดำ
ข้าว เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
จำได้ว่า...เมื่อเริ่มเขียน “แม่ช้อย นางรำ” ให้กับนิตยสาร “ทางอีศาน” เมื่อสองปีที่ผ่านมา ได้เคยเขียนเรื่อง “ขวัญข้าว...แม่โพสพ”
การเขียนคราวนั้น เป็นการเล่าเรื่องความเป็นมาของ “พระแม่โพสพ” เทวีธัญญาหารแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
กอปรกับที่มีลูกสาวชื่อ “ขวัญข้าว” ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวนาใช้เรียกข้าวในการทำขวัญ ซึ่งเป็นประเพณีไทยแท้แต่โบราณ ที่ทำกันมาเป็นร้อย...เป็นพันปี
ฮีตเดือนสาม
คำว่า “ข้าวจี่” คือ ข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วนำมาปั้นเป็นก้อนทาด้วยเกลือคลุกเคล้า ให้ทั่วเอาไม้เสียบกลางแล้วย่างไฟ เมื่อข้าวสุกเกรียมแล้วก็เอาไข่ทาแล้วย่างซํ้าอีกรอบ เสร็จแล้วถอดไม้ออก ต่อมาเอานํ้าอ้อยก้อนยัดใส่แทน งานบุญข้าวจี่เป็นประเพณีที่เก่าแก่ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนี้ ด้วยว่าแต่ก่อนเป็นเดือนชุมนุมพวกแถน หรืองานเลี้ยงผีฟ้าแถนเดือนสุดท้ายซึ่งจัดมาตั้งแต่เดือนอ้ายและเดือนยี่ เมื่อเดือนสาม ไม่มีประเพณีในพระพุทธศาสนาปราชญ์อีสานจึงได้จัดงานบุญข้าวจี่ไว้ในเดือนนี้ จนกลายเป็นงานบุญประจำเดือนสามตั้งแต่นั้นมา
สำบายดี ปี เมิงเฮ้า
“ปักขทึน (ปัก-ขะ-ทึน)” เป็นคำเก่าในวรรณกรรมอีสานโบราณ ตรงกับคำภาษาบาลี ว่าปักขทิน ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า ปฺรติทิน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Calendar ปัจจุบันใช้ว่า ปฏิทิน แปลว่า แบบสำหรับดูวันเดือนปี คำว่า ปักขทึน มาจากคำ ๒ คำ
พ.ศ. 2442 ยกเลิกคำว่า “ลาว” เกิดคำว่า “อีสาน” และภาคอีสานนิยม
พ.ศ. 2442 ยกเลิกคำว่า “ลาว” เกิดคำว่า “อีสาน” และภาคอีสานนิยม พ.ศ. 2434 ราชสำนักกรุงเทพฯได้รวมหัวเมืองต่างๆ มาเป็นมณฑล แต่ยังไม่ได้จัดเป็นแบบเทศาภิบาล จนถึง พ.ศ. 2437 จึงได้ตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาล ...Read More
“เจนละ” ชนะ “ฟูนัน” ยํ่าปราสาทวัดพู จำปาศักดิ์ ต้นกำเนิดอาณาจักรเจนละ
ก่อนจะกล่าวถึงจารึกซึ่งเป็นต้นเค้าประวัติศาสตร์นิพนธ์เมืองอุบลราชธานีใน ทางอีศาน ฉบับต่อ ๆ ไป ผู้เขียนขอวกกลับมาขยายความเรื่องปราสาทวัดพู แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว เพิ่มเติม ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังเจนละรบชนะฟูนัน เนื่องด้วยผู้เขียนได้ข้อมูลจากนักวิชาการชาวไทยและต่างชาติเพิ่มเติมในคราวค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องจารึกพระเจ้าจิตรเสนฯ
ความลับของ ‘ดอกเข้าพรรษา’
แต่เดิมมีเพียงคนในพื้นที่จังหวัดสระบุรี เรียกพืชชนิดนี้ว่า ‘ดอกเข้าพรรษา’ เพราะมีดอกในช่วงต้นฤดูฝน ชาวบ้านจึงใช้ช่อดอกไม้ชนิดนี้ถวายพระสงฆ์ในเทศกาลงานบุญเข้าพรรษา อันเป็นที่มาของชื่อ คนทั่วไปอาจไม่ทราบว่า ดอกเข้าพรรษาที่เรียกกันนั้นเป็นพืชหลายชนิด ในสกุล“ข่าลิง” (Globba) ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันมากพอที่คนทั่วไปสังเกตสักหน่อยก็จะเห็น
เมืองที สุรินทร์ / เมืองทีโคราช, เปลาะปลอ – ปลูง – ปรู (๑)
ถามถึงบรรพชนชาวเมืองที มีเชื้อสายพูดเขมร, กวย หรือ กูย (ถูกเรียก ส่วย), มอญ บ้างมั้ย? เขาตอบไม่ได้ ผมจึงหันไปถามหญิงเจ้าของร้านค้าด้วยคำถามเดียวกัน ได้คำตอบกว้าง ๆ ว่า สองหมู่บ้านนี้อยู่ติดกันใกล้ลำนํ้ามูล ภาษาพูดก็คือไทยโคราช
ตำนานเกี่ยวกับเมืองสุวรรณโคมคำ ฉบับภาษาลาว
การก่อตั้งแว่นแคว้นทางภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบันตามตำนาน (ตำนานก็คือการเขียนประวัติศาสตร์ตามแบบของคนโบราณ) แว่นแคว้นแรกคือ “สุวรรณโคมคำ”
หูก กับ กี่ ต่างกันหรือไม่?
มีผู้สงสัยถามว่าคำว่า “กี่” ในคำว่า “กี่ทอผ้า” ไทยยืมคำนี้มาจากใคร จีนหรือมอญ – เขมร ตอนแรกผมก็คิดว่าคนตระกูลไทไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนน่าจะมีศัพท์เฉพาะ “หูก” ProtoTai *truk D แต่ผมต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อไปค้นในหนังสือ 傣语方言硏究 เขียนโดย Zhou Yaowen และ Luo Meizhen ในนั้นมีศัพท์คำว่า 织布机 [zhībùjī] หรือหูกทอผ้า
ฟันดาบไทย-ลาว การละเล่นใน “สมุทรโฆษคำฉันท์”
วรรณคดีที่บรรยายเรื่องมหรสพการละเล่นสยามไว้มาก คือเรื่อง “สมุทรโฆษคำฉันท์” ช่วงต้น ๆ ซึ่งเป็นฝีมือของ “มหาราชครู” กล่าวถึงมหรสพต่าง ๆ เช่น หัวล้านชนกัน, ไทย - ลาวฟันดาบ, ชวาแทงกฤช, ชนแรด ฯลฯ
ตำนานพญาศรีโคตรตะบอง
ตำนานพญาศรีโคตร, พญาศรีโคตรตระบอง, ພະຍາສີໂຄດຕະບອງ เป็นตำนานร่วมกันทั้ง แขมร, สยาม, ลาว เรื่องราวในตำนานคล้ายคลึงกัน พิจารณาแล้วน่าจะสะท้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วง “มืดมน” คือช่วงล่มสลายของ “ยุคพระนครหลวง” (ยโศธรปุระ - นครธม) ร่วมสมัยกับการรุ่งเรืองขึ้นมาของรัฐที่ปกครองโดยชาวสยาม-ลาว
เมื่อม้ากัณฐกะไม่ได้มีสีขาวปลอดและม้าเฝ้าอุรังคธาตุน่ะมีสี
ม้าและมนุษย์มีความผูกพันกันมากว่า ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ในวรรณกรรมต่าง ๆ ม้ายังเป็นตัวละครที่ช่วยเสริมอรรถรสด้วย เห็นในแต่ละเรื่องมีอภินิหารเป็นสุดยอดอาชาที่เก่งกล้าสามารถ แต่ก็ใช่ผู้แต่งจะเขียนบรรยายลักษณะกันเรื่อยเปื่อยนะ เชื่อไหมว่าเขามีการอ้างอิงตำราไม่ต่างจากนักเขียนนิยายสมัยใหม่เลยเชียว ตำราที่ว่านั่นคือ “ตำราม้าของเก่า” และ “ตำราม้าคำโคลง”