บทร้อยกรองของ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ 50-53

๕๒. ศาสตรศิลป์เป็นเงินเป็นทรัพย์ ไปสำหรับกับผู้ตกไกล ปัญญาไวเป็นเงินของฝาก ยามเมื่อยากเกิดเหตุจิบหาย ธรรมทั้งหลายของดีเฮาก่อ เป็นของห่อต่อไว้ยามตาย ศีลทั้งหลายเป็นเงินเป็นแก้ว บ่ฮู่แล้วทุกเมื่อทุกยาม

คำฉันท์ (2) จากอินโด-อารยัน สู่สยามพากย์

เคยมีค่านิยมที่ผิดข้อหนึ่งว่า คำฉันท์ เป็นกวีนิพนธ์ที่สูงค่ากว่าบทกวีฉันทลักษณ์ประเภทอื่นค่าของกวีนิพนธ์เขามิได้วัดจากรูปแบบฉันทลักษณ์ ไม่ว่ารูปแบบฉันทลักษณ์แบบใด กระทั่งร้อยแก้วกวีนิพนธ์ – Poetic Prose ถ้าเขียนได้ถึง จริง ก็คือกวีนิพนธ์ที่ทรงคุณค่า

แกงขี้เหล็กสูตรกวย (เขมร)

ระหว่างต้มใบขี้เหล็กต้องแช่ข้าวสารจ้าวสักครึ่งถ้วยจนข้าวแตกพอง นุ่มน้ำ เรียกว่า “ข้าวเบือ” แล้วเอาข้าวเบือมาตำรวมกับใบย่านาง ตำให้แหลก ตำให้ละเอียด เข้ากันอย่างดี ถ้ามีเครื่องปั่นก็ใส่น้ำปั่นเอาเลย ตำแหลกละเอียดแล้วก็นำมาละลายในน้ำ กวนๆคนๆแล้วกรองเอาแต่น้ำไปใส่หม้อขี้เหล็กที่ตำแล้ว

คำฉันท์ วรรณลีลามรดกชาติ (43) สมุทโฆษคำฉันท์ (31)

หากพบช้างป่าตกมันก็ยิ่งอันตราย พระไอยการช้างจึงกำหนดว่า อนึ่งพระธินั่งเสดจ์เข้าต่อเถื่อน แลเถื่อนมีพาษี พระธินั่งต่ำตา อย่างควาน ควานอย่าให้ขอ อนึ่งจะทรงบาศ แลเถื่อนมีพาสีก็ดี ตรัสเรียกบาศ อย่ายื่น แลไอยการให้ควาน ๆ ทัง ๔ ประการดั่งนี้ ให้ขุนช้างชาวช้างว่าแก่ขุนตำรวจให้เอากราบมูลพระกรรุณาครั้งหนึ่ง...

คําผญา (๒๐)

“ไม้ลําเดียวล้อมฮั้วบ่ไขว่ ไพร่บ่พร้อมแปงบ้านบ่เฮือง” ไม้ต้นเดียวล้อมรั้วไม่พอ ไพร่ฟ้าไม่พร้อมพัฒนาบ้านเมืองไม่เจริญรุ่งเรือง

ข้าว มะพร้าว ตาล : เมรัยพฤกษ์ของไทย

เราไม่รู้แน่ชัดว่าเหล้าเกิดขึ้นเมื่อไร นิทานพื้นบ้านของไทยหลายท้องถิ่นกล่าวไว้คล้าย ๆ กันว่า มีเหล้าเกิดขึ้นจากการหมักของผลไม้ที่ตกค้างอยู่ในโพรงไม้ ตอนแรกก็เป็นลิงหรือสัตว์ป่ามากิน ต่อมามนุษย์ก็กินตาม กินแล้วก็เมาสนุกสนาน จนเลยเถิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เล่าขานกันเป็นนิทานชื่อ “มูลละเหล้า” ชี้ให้เห็นเหตุอันควรละเลิกสุรา

๓๖๕ น้ำพริกกับสวนรอบบ้าน – ๗. น้ำพริก ผกค. สูตร ๒ น้ำพริกแมงระงำ

ผมเป็น ผกค. ลูกกรุง หาอยู่หากินไม่เป็น อยู่ไหนก็ต้องพึ่งสหายชาวนา สหายชาวม้ง หาของกินมาเผื่อ อยุ่ในป่าดอยยาวสองปี ล่าสัตว์ได้ตัวเดียวคือ “อ้นตาบอด” ตัวเล็ก ๆ มันตาฟางเดินหลงขึ้นมาจากรู ผมจึงสามารถเอาไม้เคาะหัว หนีบติดตัวไปทำ “ป่น” หรือน้ำพริกใส ๆ

วันคล้ายวันเกิด ปรีดา ข้าวบ่อ

ผละจากอกพ่อแม่เพื่อเขียนอ่าน เรียนวิชาทำการบ้านผ่านฝึกฝน วาดหวังมีงานดีเลี้ยงชีพตน ออกดั้นด้นเดินทางตามโชคชะตา มาพบเพื่อนพบขบวนแห่งมวลมิตร วรรณศิลป์ขีดลิขิตยุคใฝ่หา กิจกรรมงานเคลื่อนไหวยอดวิชา หนุ่มสาวไร้เดียงสามุ่งหน้าไป...

สงกรานต์ดอกคูณบานรับบ้านไท

ดอกคูณแย้มระย้าบานอีสานถิ่น เหลืองโพลนทั่วธาณินทร์เวิ้งฟ้าใส บ้างโรยร่วงรอรับคนจากไท จากเหนือใต้กลับบ้านสงกรานต์นี้ แถนเอยช่วยคุ้มครองพี่น้องเฮา ได้กลับเนาแนบบ้านอย่างสุขี เก็บสีแดงอย่าฉีดสาดลาดปฐพี ฉลองปีใหม่ไทยชุ่มฉ่ำเทอญ

ผักหวานบ้าน-ผักหวานป่า

ผักหวานของคนในกรุง กับผักหวานของคนชนบท เป็นไม้คนละชนิดกัน เพื่อมิให้สับสนชาวกรุงจึงเรียกผักหวานแบบดั้งเดิมที่พวกเขารู้จักว่า ผักหวานบ้าน และเรียกผักหวานของชาวชนบทว่า ผักหวานป่า ส่วนชาวชนบทยังคงเรียกผักหวานของเขาเช่นเดิม ไม่รับรู้ทั้งผักหวานบ้าน และผักหวานป่า

“ปลาแดก” นั้นฉันใด

ปลา คือเป็นกับข้าวหลัก หรือเป็นอาหารหลักของคนอีสานมาแต่โบราณกาล ดังจะเห็นได้จาก ปู่ ย่า ตา ทวด สอนลูกสอนหลานว่า ให้กินอาหารหลักเป็นประจำ คือ “กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินปลาเป็นแนวกิน” หมายถึง ให้กินข้าวเป็นหลัก ให้กินผักเป็นยา และให้กินปลาเป็นกับข้าว นี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ปลา มีความสำคัญต่อการบริโภคอาหารของคนอีสาน

ลานข่วงคำกวี

เมฆา ญายคับฟ้า ​ปานนุ่นทาลานเป็นขุยหยุย ยวงยาว ​​พ่องหนาเนืองกว้างลางเป็น ลอนซอนซั้น เลียนถันแถวหลั่นหลิงเห็น ดารดาษด้าม ​​ดาแต้มแต่งอินทร์

ลายแคนเสียงรถไฟ – พ่อสมบัติ สิมหล้า

ลายแคน ประดิษฐ์โดย พ่อสมบัติ สิมหล้า ที่เลียนมาจากเสียงรถไฟ แสดงในงานเสวนากึ่งสาธิตทางดนตรี “ลายดนตรีแคนในวัฒนธรรมหมอลำ” ในนิทรรศการ “แคนล่องคะนองลำ” ณ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

คำผญา (๖) หยอกไฟได้หนี้ หยอกขี้ได้กิน

หยอกไฟได้หนี้ หยอกขี้ได้กิน เล่นกับไฟได้หนี้ เล่นกับขี้ได้กิน ไฟเป็นของร้อน และอะไรที่ร้อน ๆ ก็เปรียบเสมือนไฟ โดยเฉพาะไฟที่เกิดขึ้นในใจนั้นร้อนมากและก็เป็นไฟที่ดับยาก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ๓ ไฟนี้ร้อนมาก เมื่อเกิดขึ้นกับใคร นอกจากจะเผาตัวเองแล้วยังเผาผู้อื่นด้วย นี่ยังไม่รวมถึงไฟอบายมุขอื่น ๆ
WP2Social Auto Publish Powered By : XYZScripts.com